The Last Recipe สูตรลับเมนูยอดเชฟ เข้าฉายในประเทศญี่ปุ่นปี 2017 เป็นภาพยนตร์แนวดราม่า คอมเมดี้ อิงประวัติศาสตร์ ผลงานการกำกับของ โยจิโร่ ทาคิตะ ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นเจ้าของรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมจาก Departures ปี 2009 สามารถการันตีคุณภาพได้
อีกส่วนที่น่าสนใจคือ ทีมนักแสดงนำซึ่งต้องบอกว่ารวมดาราตัวท็อปของญี่ปุ่นไว้มากมายทั้ง นิโนะมิยะ คาซึนาริ อดีตนักร้องวง ARASHI ที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง และมีผลงานมากมาย เช่น Letters from Iwo Jima และ Gantz ทั้ง 2 ภาค , อาโออิ มิยาซากิ นักแสดงสาวชื่อดังจาก Nana , นิชิจิม่า ฮิเดโทชิ นักแสดงหนุ่มจาก Hameln และ ยูทากะ ทาเคอุชิ นักแสดงรุ่นใหญ่จาก Calmi Cuori Appassionat
The Last Recipe ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง Kirin no Shita wo Motsu Otoko ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2014 เขียนโดย เคอิจิ ทานากะ เป็นเรื่องราวของเชฟหนุ่ม ซาซากิ มิตสึรุ รับบทโดย นิโนมิยะ คาซึนาริ ที่มีความอัจฉริยะ สามารถจดจำรสชาติอาหาร และวัตถุดิบที่ทำได้ภายในการชิมเพียงครั้งเดียว จึงมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความเข้มงวด มีอีโก้ และปมปัญหาเรื่องครอบครัว ทำให้ร้านอาหารของเขาเจ๊ง และเป็นหนี้หลายล้านเยน
ซาซากิ ตกอับจนต้องยอมจำใจรับงานแปลกๆ อย่างการทำอาหารเมนูสุดท้ายให้คนที่กำลังจะตาย ซึ่งค่าตัวของเขาแพงมาก คนที่จ้างได้มีแต่ระดับเศรษฐีเท่านั้น ต่อมาจู่ๆ เขาก็ได้รับการว่าจ้างจากยอดเชฟประเทศจีนให้ทำอาหารเมนูสุดท้าย ที่อยู่ในความทรงจำมาตลอด 70 ปี ด้วยค่าจ้างที่สูงถึง 50 ล้านเยน แต่มีเงื่อนไขว่า เขาจะต้องออกเดินทางตามหาสูตรเมนูอาหารที่หายสาบสูญไปอย่าง ตำรับอาหารจักรพรรดิ แห่งมหาจักรพรรดิญี่ปุ่นของ นาโอะทาโร ยามากาตะ (นิชิจิมะ ฮิเดโทชิ) สุดยอดเชฟญี่ปุ่นในตำนานให้เจอ และปรุงรสชาติให้ได้เหมือนต้นฉบับ ซาซากิ ตกลงรับงาน โดยไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนั้นจะมีความหมายกับชีวิตเขาเช่นกัน
หนังบอกเล่าเรื่องราวสลับกันไปมาสองยุค คือยุคปัจจุบันที่เล่าถึงเรื่องราวของ ซาซากิ เชพหนุ่มพรสรรค์สูงเจ้าอารมณ์ที่ชีวิตกำลังเคว้งคว้างไร้จุดหมาย กับยุคที่ญี่ปุ่นยึดครองแมนจูเรียดินแดนที่คาบเกี่ยวระหว่าง จีนกับรัสเซีย โดยตั้งชื่อว่า สาธารณรัฐแมนจูกัว มี 5 ชนชาติใหญ่ในพื้นที่ตะวันออกอาศัยอยู่ร่วมกันคือ ชาวแมนจู, ชาวญี่ปุ่น, ชาวจีนฮั่น, ชาวมองโกล และชาวเกาหลี นอกจากนี้ยังมี ชาวเซียนเปย์ กับ ชาวยิว จากยุคตะวันตกที่หลั่งไหลกันเข้ามาตั้งรกราก พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวของ นาโอะทาโร พ่อครัวอันดับหนึ่งของวังหลวงญี่ปุ่นกับภรรยาที่ถูกส่งตัวมาทำภารกิจรังสรรค์สุดยอดตำรับอาหารของโลกเพื่อถวายองค์พระจักรพรรดิของประเทศญี่ปุ่น โดยเขาต้องสร้างเมนูอาหารถึง 112 เมนู เพื่อเอาชนะ หมานฮั่นฉวนสี สุดยอดตำรับอาหารจีนฮองเต้ที่มี 108 เมนู สิ่งที่ ซาซากิ กับ นาโอะทาโร มีเหมือนกันก็คือ การเป็นชายผู้มีลิ้นกิเลน สามารถจดจับรสชาติอาหารได้อย่างขึ้นใจ
โยจิโร่ ทาคิตะ ผู้กำกับไม่ได้นำประเด็น อาหารมื้อสุดท้าย และความตายมาขยี้เหมือนตอนกำกับ Departures แต่ตำรับอาหารสุดท้ายในความหมายของเขา หมายถึงความทรงจำที่หล่นหายไปจากรุ่นสู่รุ่น โดยเชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์อันขมขื่นระหว่างประเทศจีน กับประเทศญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็น มุมอาหาร การเมือง วิถีชีวิต แนวคิด และวัฒนธรรม
ส่วนประเด็นคู่ขนาน คือเรื่องของหัวใจของการเป็นเชฟ การทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อความฝัน ความสัมพันธ์ของครอบครัว และมิตรภาพต่างเชื้อชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้นำเสนอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ลึกซึ้ง กินใจ โดยเฉพาะบทสรุป อย่างการเปิดเผยความลับในช่วงท้ายที่รับรองว่าคนดูต้องเซอร์ไพรส์ ขณะเดียวกันในพาร์ทพีเรียด การจำลองโลเคชั่นในยุคนี้ให้กลายเป็นเมืองฮาร์บินของประเทศจีนในปี 1930 ถือว่าโปรดักชั่นทำได้สมจริงมาก รวมถึงเรื่องเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ การถ่ายทอดภาพใช้สีโทนอบอุ่นสวยงามตามสไตล์ภาพยนตร์ญี่ปุ่น
The Last Recipe จึงเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ชั้นดี ที่นอกจากคนดูจะกลืนน้ำลายไปกับสุดยอดเมนูอาหารน่าทานต่างๆ ตลอดเรื่อง รวมถึงสนุกกับการเดินทางย้อนอดีตไปชมบรรยากาศเก่าๆ แล้ว ยังได้ความประทับใจเกี่ยวกับประเด็นสายใยของคนในครอบครัวอีกด้วย
คะแนน 8/10