Wani91
“เราเลือกเกิดไม่ได้ แล้วเราจะเลือกครอบครัวด้วยตัวเองได้หรือไม่” ประเด็นที่น่าขบคิด มีอีกหลาย ๆ ประเด็นที่หนังทำหน้าที่ตีแผ่โดยไม่ชี้นำ ปล่อยให้คนดูวิเคราะห์และวิจารณ์ได้อย่างชาญฉลาด
และล่าสุด Shoplifters ที่เป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นในการเข้าชิงรางวัลสาขา ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม บนเวทีออสการ์ มีชื่อเป็นผู้เข้าชิงในรอบสุดท้าย ซึ่งปีนี้มีหนัง 9 เรื่องจาก 9 ชาติหลุดเข้ามาลุ้นรางวัลนี้ ได้แก่ Shoplifters จากญี่ปุ่น, Birds of Passage จากโคลอมเบีย, The Guilty จากเดนมาร์ก, Never Look Away จากเยอรมนี, Ayka จากคาซัคสถาน, Capernaum จากเลบานอน, Roma จากเม็กซิโก, Cold War จากโปแลนด์ และ Burning จากเกาหลีใต้ ก่อนที่จะมีการประกาศผลรางวัลผู้ชนะเลิศในงาน ออสการ์ ครั้งที่ 91 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ประเทศสหรัฐฯ
Shoplifters หรือครอบครัวที่ลัก ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ฮิโรคาซึ โคเรเอดะ (Hirokazu Kore-eda : 是枝 裕和) ที่ลงมือเขียนบทและกำกับเอง เพิ่งคว้ารางวัลปาล์มทองคำ (The Palme d’Or) รางวัลสูงสุดจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปีที่ญี่ปุ่นได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ต่อจาก The Eel (うなぎ) โดยผู้กำกับ โชเฮ อิมามุระ (Shohei Imamura :今村 昌平) เมื่อปี 1997 และเป็นวันของโคเรเอดะเสียที หลังจากที่ภาพยนตร์ของเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้มาแล้ว 5 ครั้ง
สำหรับ Shoplifters หรือครอบครัวที่ลัก เป็นเรื่องราวของครอบครัวชนกรรมาชีพ ครอบครัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว ประกอบไปด้วย โอซามุ (ลิลี่ แฟรงกี้ / Lily Franky : リリー・フランキー) หัวหน้าครอบครัวผู้ประกอบอาชีพแรงงานก่อสร้างรายวัน และมีรายได้เสริม ด้วยการขายของที่ได้มาจากการลักเล็กขโมยน้อยร่วมกับ โชตะ (ไคริ โจว / Kairi Jyo : 城桧吏) ลูกชายของเขา
วันหนึ่ง โอซามุและโชตะ ได้พบกับยูริ (มุ ซาซากิ / Miyu Sasaki : 佐々木みゆ) เด็กน้อยที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง เขาจึงตัดสินในพามาอยู่ในบ้านด้วย โดยไม่ฟังเสียงคัดคานจาก โนบุโยะ (ซากุระ อันโด / Sakura Ando: 安藤 サクラ) ภรรยาสาวโรงงานของเขา ว่านี่คือการลักพาตัวเด็ก แต่เขากลับมองว่าไม่ใช่การลักพาตัว เพราะไม่ได้เรียกเงินค่าไถ่ นอกจากนี้ยังมี อากิ (มายุ มัทสึโอกะ / Mayu Matsuoka : 松岡茉優) เด็กสาววัยรุ่นที่ช่วยหาเงินเข้าบ้านด้วยอาชีพการเต้นอนาจาร และคุณยายฮัตสึเอะ (คิริน คิคิ / Kirin Kiki : 樹木希林) ที่ได้รับเงินบำนาญจากสามีที่เสียชีวิตไปแล้ว (แต่ไม่ได้แจ้งตาย) ทั้ง 6 คน อาศัยอยู่ร่วมกันโดยมีความสัมพันธ์แปลก ๆ เนื่องจากบางคนไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน ทว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ราวกับเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ เวลาดำเนินไปเรื่อย ๆ กระทั่งความลับที่พวกเขาปกปิดไว้ค่อย ๆ เผยออกมา
เนื้อหาต่อไปนี้มีการสปอยล์ (เล็กน้อย)
ความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวของแต่ละตัวละครที่ประกอบสร้างจนกลายมาเป็น ความสัมพันธ์แบบครอบครัวนี้ คือประเด็นแรกที่น่าสนใจ เพราะคนญี่ปุ่นค่อนข้างให้ความสำคัญกับเลือดเนื้อเชื้อไข แต่ครอบครัวนี้สามารถก้าวข้ามเรื่องเลือดข้นกว่าน้ำไปได้ ด้วยสายใยความผูกพันที่เป็นนามธรรมเหลือเกิน หลายครั้งที่ตัวละครพยายามตอกย้ำเรื่อง “เราเลือกเกิดไม่ได้ แล้วเราจะเลือกครอบครัวด้วยตัวเองได้หรือไม่” ทำให้กระตุกต่อมคิดคนดูในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดและสายใย
รัฐกับสวัสดิการที่พลเมืองพึงได้ เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องบำนาญ การคุ้มครองแรงงาน การประกันการว่างงาน การศึกษา รวมถึงวิธีคิดหลาย ๆ อย่างที่กระตุกต่อมเอ๊ะ แต่เข้าใจได้ เพราะผู้กำกับนั้นสร้างเงื่อนไขให้ตัวละครไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับสิทธิดังกล่าวได้ ด้วยเงื่อนไขที่ต้องทำอะไรหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ทั้งเรื่อง เช่น ไม่ออกไปเจอใคร เด็ก ๆ ไม่เรียกพ่อแม่ตรง ๆ งานของอากิก็ไม่ เห็นหน้าลูกค้า ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ ดังนั้น แก่นหลักของเรื่องนี้คือ การหลบซ่อน
โดยผู้กำกับโคเรเอดะ ได้นำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมญี่ปุ่นหลายเหตุการณ์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามาเป็นจิ๊กซอว์ประกอบให้เรื่องสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคดีขโมยของ ลักพาตัว และการนำเอาเงินบำนาญของผู้สูงอายุมาเลี้ยงดูตัวเอง “การขโมยของเพื่อความอยู่รอด การหลบซ่อนเพื่อปกป้องคนที่รัก และปกปิดความลับที่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้”
การเคลื่อนไหวของภาพหลาย ๆ ครั้ง คิดว่าดูสารคดี เพราะด้วยความสมจริงของฉาก ซึ่งขอไม่สปอยล์ แต่พูดได้เลยว่ามันเรียลมาก สำหรับตัวละครโปรดของผู้เขียน คือ โนบุโยะ ที่แสดงโดยคุณอันโด ซากุระ หลายซีนที่ไม่มีคำพูดออกมาจากปาก แต่สามารถพาคนดูให้รู้สึกเจ็บปวดและจุกอกกับปัญหาที่เธอกำลังเผชิญในเรื่องได้ จนลืมไปว่านี่คือการแสดง
เวลากว่า 2 ชั่วโมง เรื่องราวค่อย ๆ ดำเนินไป ภาพยนตร์ได้นำพาคนดูดื่มด่ำกับความสัมพันธ์อันสมบูรณ์ในสภาพความเป็นอยู่ที่บกพร่อง การเดินของกล้องในหลาย ๆ ฉาก ยิ่งรู้สึกอิน เพราะการดำเนินของภาพทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในตัวละคร มีส่วนร่วมในการกระทำต่าง ๆ ของตัวละคร แต่หากไม่ค่อยปลื้มภาพยนตร์แนวสารคดีหรือภาพยนตร์สารคดีเทียม (mockumentary) ที่เน้นความเรียลความสมจริง ก็อาจจะเวียนหัวหรืออึ้งกับหลาย ๆ ฉากที่บรรยากาศดูไม่ค่อยโสภาสักเท่าไร เรื่องราวดำเนินอย่างช้า ๆ เนือย ๆ ในช่วงแรกถึงกลางเรื่อง ซึ่งกว่าภาพยนตร์จะพาเราไปสู่จุดไคลแม็กซ์ โคเรเอดะก็เลี้ยงไข้คนดูให้รู้สึกว่ามันคงไปไม่ได้ไกลกว่านี้แล้ว แต่เมื่อหมัดแรกที่เปรียบเป็นจุดเปลี่ยน เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ตัวผู้กำกับก็ไม่รีรอ ยื่นหมัดที่ 2 3 4 เข้ามาบีบคั้นคนดูจนเกือบหายใจไม่ออก ปมต่าง ๆ ก็ถูกฉายออกมาให้เห็นถึงเหตุผลของแต่ละตัวละคร จนกระทั่งภาพสุดท้ายบนจอนั้นหายไป…
ภาพยนตร์ครอบครัวที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย กลมกล่อมดูไม่ยาก แต่ผู้ใหญ่ควรแนะนำบุตรหลาน (ในบางฉาก) ในขณะที่สายสารคดีเลิฟเวอร์น่าจะถูกใจไม่น้อย
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของ คุณคิริน คิคิ วัย 75 ปี นักแสดงอาวุโสที่ร่วมงานกับผู้กำกับโคเรเอดะมาแล้วหลายเรื่อง โดยเธอให้สัมภาษณ์กับแจแปนไทม์ ไว้ดังนี้ “ฉันคงไม่โบกธงลาบอกทุกคนหรอกว่า ฉันจะเลิกเล่นหนังแล้วหรอกนะ ภาพที่ฉันคิดไว้ก็คือ อยากให้ผู้คนรู้สึกไปเองว่า ไม่ค่อยได้เห็นหน้าฉันแล้ว และไม่มีฉันอยู่บนจอหนังอีกแล้วมากกว่า…หน้าที่ของฉันคือการสร้างความประทับใจบนจอหนัง และฉันก็ไม่อยากให้คนมาจดจำชีวิตนอกจอของฉันสักเท่าไหร่”
ตัวอย่างภาพยนตร์
NokCyber
รีวิวหนัง Shoplifters ครอบครัวหัวขโมย หนังรางวัลรางวัลปาล์มทองคำของ ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ
SHOPLIFTERS คือภาพยนตร์ดราม่าครอบครัวของ ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ ยอดผู้กำกับชาวญี่ปุ่นเจ้าของผลงาน Nobody Knows , Still Walking , Like Father Like Son ซึ่งหนังเรื่องนี้สร้างความประทับใจในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ จนคว้ารางวัลปาล์มทองคำมาได้
ในส่วนของนักแสดงนำ รวมเอานักแสดงญี่ปุ่นที่มีความสามารถไว้หลายคนทั้ง ลิลลี่ แฟรงกี้ จาก Like Father Like Son , คิริน กีกิ จาก After the Storm , ซากุระ อันโดะ จาก 100 Yen Love และ มายุ มัตสึโอกะ จาก Chihayafuru
เนื้อหาของหนังว่าด้วยเรื่องราวของ โอซามุ (ลิลลี่ แฟรงกี้) นอกจากทำงานรับจ้างรายวัน เขายังลักเล็กขโมยน้อยเป็นอาชีพเสริมด้วย โดยมีลูกชาย โชตะ (ไคริ โจว) เป็นผู้ช่วย วันหนึ่ง ขณะทั้งคู่กลับจากการขโมยของ โอซามุ ได้เจอกับ ยูริ (มิยุ ซาซากิ) เด็กหญิงตัวน้อยอยู่ตัวคนเดียว เขาจึงตัดสินใจพาเธอกลับมาบ้านด้วย
แม้ว่า โนบุโยะ (ซากุระ อันโดะ) ภรรยาของเขาจะไม่พอใจที่เขาพาเด็กที่ไหนมารู้มาอยู่อาศัยด้วย ถึงอย่างนั้นตัวเธอและรวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวอย่าง อากิ (มายุ มัตสึโอกะ) น้องสาวของยูริ และคุณยายฮัตสุเอะ (คิริน กีกิ) ก็ดูแลเด็กหญิงคนนี้เป็นอย่างดี ถึงแม้พวกเขาจะเป็นครอบครัวเล็กๆ จนๆ แต่พวกเขาก็เป็นครอบครัวที่มีความสุข ทว่าในช่วงเวลาที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ความลับบางอย่างก็เปิดเผยออกมาทำให้ทั้งครอบครัวต้องสั่นคลอน
Shoplifters เป็นหนังที่ว่าด้วยความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อน ทั้งคนในครอบครัว และคนนอกที่เพิ่งเข้ามา พร้อมกับการพยายามนำเสนอ ความสัมพันธ์ของครอบครัวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันผ่านทางสายเลือด คล้ายกับ Like Father Like Son แต่เข้มข้นกว่า ซึ่งแม้ว่าครอบครัวใน Shoplifters จะไม่สมบูรณ์พร้อม ตัวละครมีความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ก็มีแง่มุมที่อบอุ่นและงดงามของชีวิตด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันบทภาพยนตร์ยังสะท้อนถึงปัญหาของสังคมญี่ปุ่น ทั้งในเรื่องของความต่างระหว่างชนชั้น การขาดการศึกษา ตัวบทกฎหมาย ไปจนถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว หนังมีการย้อนแย้งระหว่างความสดใสกับความดาร์ก ส่วนจะมากหรือน้อย จุดนี้แล้วแต่มุมมองของคนดู ไม่ว่าจะเป็น หัวขโมยที่มีจิตใจดีงาม การพัฒนาจากลักสิ่งของมาเป็นลักพาตัวมนุษย์ เป็นต้น
การถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยกล้องฟิล์ม 35 มม. ทั้งเรื่องทำให้ภาพที่ออกมาสวยงามและเป็นธรรมชาติมากๆ โดยเฉพาะฉากครอบครัวจับมือกันบริเวณริมทะเล
ด้านการแสดงหายห่วงได้เลยกับฝีมือของ ลิลลี่ แฟรงกี้ กับ คิริน กีกิ สองนักแสดงคู่บุญของผู้กำกับ โคเรเอดะ พวกเขาถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละครออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก แต่อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ มิยุ ซาซากิ ที่รับบท ยูริ ลูกสาวคนเล็กของบ้านหัวขโมย เธอเล่นได้น่ารักและน่าสงสารมากๆ แน่นอนว่าต้องมีหลายคนเสียนํ้าตาให้กับการแสดงของเธอ
โคเรเอดะ เก็บความลับได้เก่ง และเฉลยมันออกมาในเวลาที่เหมาะสม แม้ว่าจะไม่ได้มีตอนจบที่พีคมาก แต่ Shoplifters ก็เป็นหนังที่มีบทสรุปตราตรึงใจผู้ชม รวมถึงมีประเด็นที่น่าสนใจให้ออกมาพูดคุยแบ่งปันกันได้อีกหลายวัน
Shoplifters มีกำหนดเข้าฉายที่ไทย วันที่ 2 สิงหาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างหนัง
ผู้กำกับ : Hirokazu Koreeda
นักแสดง : Lily Franky, Kirin Kiki, Sosuke Ikematsu , Sakura Ando
แหล่งที่มารูปภาพ : sahamongkolfilm
แหล่งที่มาข้อมูล : japantimes.co.jp, asahi.com, english.kyodonews.net, theguardian.com