Kenrokuen สวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามลงตัวทางด้านแลนด์สเคปและองค์ประกอบต่าง ๆ ด้วยพื้นที่ขนาดกว่า 11.4 เฮกตาร์ จึงทำให้สวนแห่งนี้สามารถที่จะแบ่งพื้นที่การจัดสวนได้มากขึ้น ถึงแม้จะเป็นสวนเดียวกัน แต่ในจุดต่าง ๆ นั้นก็แบ่งแยกความรู้สึกและอารมณ์ของสวนไปได้ทั้งหมด ด้วยการจัดสวนที่โดดเด่น การเล่นกับน้ำ รวมถึงการใช้หินที่มีเอกลักษณ์ จึงทำให้สวนนี้มีความพิเศษและเป็นที่จดจำมากกว่าสวนญี่ปุ่นทั่วไป
จุดเด่น 6 ประการสำคัญของสวนนี้ประกอบไปด้วย ความกว้างขวาง ความสงบ มีเทคนิคลูกเล่น เก่าแก่ ทางน้ำ และทัศนียภาพที่สวยงาม จุดเด่นเหล่านี้สามารถมาสัมผัสได้ที่สวนแห่งนี้
สวน Kenrokuen นี้ มีประตูทางเข้าถึง 7 แห่ง แต่ประตู Katsurazaka จะได้รับความนิยมมากกว่า (ประตูที่เชื่อมกับ Ishikawa-mon ปราสาท Kanazawa) เมื่อผ่านเข้ามาแล้วก็จะเจอร้านของฝากดักเอาไว้ตั้งแต่ปากทางเลย เมื่อเดินต่อเข้าไปอีกหน่อยก็จะพบกับ Kasumiga-ike ซึ่งเป็นสระน้ำที่ใหญ่ที่สุดในสวนแห่งนี้ และเป็นจุดสำคัญของสวนด้วย
บริเวณนี้เป็นจุดที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวเพราะว่ามี Kotoji Toro หรือโคมไฟหินที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของสวน Kenrokuen ความแปลกของโคมไฟ Kotoji อันนี้คือ มีขาหนึ่งอยู่ในน้ำ และขานึงอยู่บนดิน เป็นประเภทหนึ่งของโคมไฟหิน Yukimi
ถัดมาจาก Kotoji Toro ก็คือต้นสน Karasaki เป็นต้นสนสีดำเก่าแก่ที่ปลูกโดย Maeda Nariyasu ไดเมียวรุ่นที่ 13 ของตระกูล Maeda แห่งจังหวัด Kaga ซึ่งต้นสนนี้ปลูกด้วยเมล็ดจากแถบ Biwa จนสูงใหญ่ ส่วนเชื่อที่ดึงกิ่งไม้อยู่นั้นมีชื่อว่า Yukitsuri ซึ่งเป็นวิธีการนำเชือกมาปกป้องต้นไม้จากหิมะ ไม่ให้ทับถมจนหนักเกินไป และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของสวน Kenrokuen เช่นกัน เป็นภูมิปัญญาที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์เด่นของสวนแห่งนี้
Yukitsuri นั้นไม่ได้มีตลอดทั้งปี ทุก ๆ ต้นเดือนพฤศจิกายนก่อนเข้าฤดูหนาวจะมีการนำเชือกมาผูกกับต้นไม้ไว้แบบนี้ เพราะจะเอาไว้กันหิมะในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง และในช่วงต้นเดือนมีนาคม หลังจากที่หิมะละลายหมดแล้วก็จะนำเชือกออก
ข้าง ๆ กันนั้นก็มีอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของสวน Gankou-Bashi สะพานหิน 11 ก้อน ที่วางเหมือนกับฟอเมชั่นการบินของห่าน แต่ก็มีอีกชื่อเรียกหนึ่งก็คือสะพานกระดองเต่า เพราะหินแต่ละก้อนนั้นมีรูปทรงเหมือนกระดองเต่านั่นเอง ปัจจุบันนี้ไม่สามารถเดินข้ามสะพานนี้ได้
ถัดจาก Gankou-Bashi ก็คือ Shichi-Fukujin-Yama หรือเนินเขาของเทพเจ้าแห่งความโชคดี ซึ่งจะมีโคมไฟหิน 3 ขาตั้งอยู่ด้านหน้า และมีหิน 7 ก้อนแทนเทพเจ้าทั้ง 7 สร้างโดยไดเมียวตระกูล Maeda รุ่นที่ 12 Maeda Narinaga ซึ่งตั้งอยู่ติดกับ Takezawa Palace (ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว)
Takezawa Palace คือวังที่สร้างขึ้นในยุคของ Maeda Narinaga เป็นหนึ่งในวังที่มีสเกลขนาดใหญ่ มีห้องมากกว่า 200 ห้อง สร้างเสร็จในปี 1822 หลังจากสร้างเสร็จท่าน Narinaga ก็ใช้ชีวิตอยู่กับการดูการแสดง Noh ซึ่งวังแห่งนี้มีเวทีแสดง Noh ถึง 2 เวที แต่พอถึงยุคของ Nariyasu รุ่นที่ 13 วังแห่งนี้ก็ถูกรื้อถอนออกไป
ต้นสนในสวน Kenrokuen นั้นก็มีอยู่หลายต้น แต่หนึ่งในต้นที่พิเศษของที่นี่ก็คือ Neagari-no-Matsu ปลูกโดย Maeda Nariyasu รุ่นที่ 13 ด้วยเทคนิคการนำต้นสนอ่อนวัยปลูกไว้กับเนินดิน เมื่อต้นสนโตได้ที่และมีความแข็งแรงเพียงพอแล้ว จึงนำดินออก ภาพที่เห็นจึงเป็นเหมือนต้นไม้ยืนได้นั่นเอง
มาเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิด้วยดอกบ๊วยกันเถอะ! Plum Grove Garden คือสวนดอกบ๊วยที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบ 100 ปีของยุคสมัยเมจิ ที่นี่มีต้นบ๊วยกว่า 200 ต้น 20 สายพันธุ์ นำมาจากสถานที่ต่าง ๆ ช่วงที่ไปนั้นเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม เป็นช่วงที่ดอกบ๊วยหรือพลัมนั้นออกดอกต้อนรับนักท่องเที่ยวพอดี จุดนี้จะมีพื้นที่ไม่มากนัก แต่ก็มากพอที่จะให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานเลย
สวนใหญ่ๆ แบบนี้ก็มักจะ Tea House ใช่ไหม? แน่นอนว่ามี! แถมมีถึง 4 แห่งเลยล่ะ เดี๋ยวผมจะพาไปชม 1 ใน 4 โรงน้ำชาของสวนเคนโรคุเอ็นกันครับ
Shigure-tei โรงน้ำชาขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสวน สร้างขึ้นในสมัยท่านไดเมีย Maeda Harunaga รุ่นที่ 11 แต่ก็โดนรื้อถอนออกไป แล้วสร้างขึ้นมาใหม่จนแล้วเสร็จในปี 2000 โรงน้ำชานี้ สามารถเข้าไปชมได้ฟรี แต่ผมแนะนำให้สั่งชุดน้ำชาด้วยครับ เพราะบรรยากาศมันได้จริง ๆ
ผมเปิดประตูเดินเข้าไป พนักงานก็พูดต้อนรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ผมเดินไปที่หน้าเค้าเตอร์แล้วก็สั่งชุดมัชชะ 1 ชุด พร้อมชำระเงิน จากนั้นพนักงานก็พาผมไปบริเวณห้องน้ำชา ในตอนนั้นก็นั่งบนเสื่อตาตามิ มองเห็นสวนสวย ๆ ด้านนอก บรรยากาศที่เงียบสงบช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นั่งรอไม่นานนักพนักงานก็นำชุดชามาเสิร์พ ซึ่งในชุดก็จะมีวากาชิแปะทองคำเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นคานาซาว่ากับมัชชะ ดื่มไป ชมสวนไป อากาศในวันนั้นประมาณ 18 องศา อากาศเย็นแบบนี้แล้วได้ดื่มมัชชะไปด้วย มันคือความฟินอย่างหนึ่งเลย
สำหรับราคาชุดน้ำชานั้น มีดังนี้
Matcha 720 เยน
Green Tea 310 เยน
* ในชุดจะมีชา 1 ถ้วย กับขนม 1 ชิ้น
หลังจากอิ่มเอมไปกับชุดมัชชะจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกจากห้อง แต่พนักงานแนะนำให้เดินไปชมห้องน้ำชาอีกห้องหนึ่งข้างกันด้วย บรรยากาศของห้องนี้ก็ดูสงบและรู้สึกปลอดโปร่งกว่า เพราะมีแสงเข้ามาในห้องจาก 3 ด้าน เหมาะแก่การนั่งชมสวนเงียบ ๆ
เดินถัดมาอีกเล็กน้อยก็จะเจอกับบ่อน้ำ Hisako-ike บริเวณนี้แต่เดิมคือสวน Renchi-tei สวนดั้งเดิมของที่นี่ แถมบ่อนี้ยังมีรูปทรงเหมือนน้ำเต้าด้วยนะ เจดีย์ทางขวามือคือเจดีย์ Kaiseki สูง 4.1 เมตร มีสองที่มาที่ไม่ชัดเจน หนึ่งคือจากการย้ายมาจากเจดีย์หิน 13 ชั้นภายในปราสาทคานาซาว่า และอีกที่มาคือสมัยทำสงครามบุกเกาหลี Toyotomi Hideyoshi ได้นำหินมาจากเกาหลี และนำมาเป็นรางวัลให้กับ Maeda Toshiie ถัดไปคือน้ำตก Midori เป็นน้ำตกที่ไหลมาจากบ่อ Kasumiga-ike นั่นเอง
และอีกหนึ่งจุดเด่นของเค็นโรคุเอ็นก็คือ น้ำพุครับ เป็นน้ำพุที่ได้มาจากการไหลของน้ำใน Kasumiga-ike น้ำพุมีความสูงกว่า 3.5 เมตร และเป็นน้ำพุที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น
จบไปแล้วสำหรับการเที่ยวชมสวน Kenrokuen แบบคร่าว ๆ ในแต่ละฤดูนั้นจะมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นฤดูหนาวหิมะตกก็จะมีโทนขาวดำสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง ฤดูใบไม้ผลิที่มีดอกซากุระให้ชมสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ฤดูร้อนกับการต้อนรับของดอกไม้นานาพันธุ์ หรือฤดูใบไม้ร่วงกับการเปลี่ยนสีของใบไม้ต่าง ๆ นา ๆ ผมพาเที่ยวแบบไม่ครบทุกจดเพราะว่าบางส่วนจะเหมาะกับฤดูอื่นมากกกว่า เช่น บริเวณ Yamazaki-yama ที่มีแต่ต้นเมเปิ้ลกับต้นไม้ที่เปลี่ยนสีสวยงามไปทั้งบริเวณ แต่ถ้าไปช่วงปลายฤดูหนาวเข้าฤดูใบไม้ผลิก็จะเห็นเป็นกิ่งไว้ธรรมดาสะส่วนใหญ่ ผมเลยไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชมกันครับ หรือถ้าใครอยากมาชม Light-up ก็มีให้ชมเช่นกันครับ แล้วจะมีรถวิ่งให้บริการในช่วงกลางคืนทุกวันเสาร์ครับ
ข้อมูลการเดินทาง
เดินทางด้วย Kanazawa Loop Bus
(1 Day Pass 500 เยน หรือ 200 เยน/เที่ยว)
Right Loop (RL): RL7(ใกล้ที่สุด) หรือ RL8
Left Loop (LL): LL8(ใกล้ที่สุด) หรือ LL9
เดินทางด้วย Kenrokuen Shuttle: S6, S7 หรือ S8
ข้อมูล Kanazawa Loop Bus และ Kenrokuen Shuttle(PDF)
Kanazawa Light-up Bus ป้ายที่ 4
วิ่งทุกวันเสาร์ยกเว้นวันที่ 31 ธันวาคม
ข้อมูล Kenrokuen Light-up Bus(PDF)
ค่าเข้าชมสวน
ผู้ใหญ่(18+ปี) 310 เยน
เด็ก(6-17ปี) 100 เยน
[googlemaps https://www.google.com/maps/embed?pb=!1m18!1m12!1m3!1d3204.6673856928937!2d136.66046281556422!3d36.56213208876362!2m3!1f0!2f0!3f0!3m2!1i1024!2i768!4f13.1!3m3!1m2!1s0x5ff83383f9b25905%3A0x970a7b3df003f2e4!2sKenroku-en!5e0!3m2!1sen!2sth!4v1464684588055&w=600&h=450]