จากทริปใบไม้เปลี่ยนสีนั้น มีวันนึงที่พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฟ้าครึ้มทั้งวันและมีลมแรงในตอนค่ำ ทำให้ต้องยกเลิกแผนการเที่ยวและเข้าสวนในวันนี้ และตั้งใจจะเน้นเดินเล่นเที่ยวตะลอนไปในเมืองเสียมากกว่า และก็เป็นจริงอย่างที่พยากรณ์อากาศบอก ตื่นเช้ามาฟ้ามืดมัวฝนมากเลย แต่ถึงยังไงก็ต้องเที่ยว งั้นไปกันเลย!
แอบงงตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้งๆที่รู้ว่าฟ้ามัวผมก็ยังจะไปขึ้นอาคาร Tokyo Metropolitan Government Building ที่ชินจูกุ เอาน่ะมันขึ้นฟรีนี่นา
ถ่ายรูปเล่นด้านล่างเล็กน้อย .. ผมลืมถ่ายตัวอาคารมาด้วยอะ
ผมไปถึงตอน 10 โมงครึ่งโดยประมาณ จากสถานีชินจูกุ เราสามารถเลือกไปได้ 2 ทาง คือ
1. ทางเชื่อมใต้ดิน
ให้มองหาป้ายที่นำทางเราสู่ตัวอาคารได้เลยครับ ทางมันบังคับไม่หลงแน่นอน คนเพิ่งเคยมาจะรู้สึกว่าเดินไกลครับ
2. เดินตามถนน
ผมแนะนำวิธีนี้มากกว่านะ เพราะมันมีอะไรให้ดูเช่นอาคารต่างๆ ผู้คนมากมาย ไม่น่าเบื่อแบบใต้ดิน
พอไปถึงตัวอาคารนั้น ให้ลงไปที่ชั้นแรกครับ จะเจอทางขึ้นและลิฟท์ ซึ่งโดยปกติแล้วน่าจะเห็นคนต่อแถวกันอยู่ หาไม่ยากครับ ที่นี่จะเปิดให้ขึ้นทั้งสองฝั่ง แต่ผมขึ้นฝั่งใต้ครับ รอต่อคิวไม่นาน มีการตรวจกระเป๋าเล็กน้อย หลังจากนั้นพนักงานก็พาเราขึ้นลิฟท์ไปสู่ชั้น45 ที่ความสูง202เมตร !
พอลิฟท์เปิดปั๊ป รู้สึกได้เลยครับว่าไม่ผิดหวังจริงๆ! เพราะวิวที่เห็นนั้นขาวโพลนเลยครับ! ไม่ต้องพูดถึงภูเขาไฟฟูจิเลยครับ แค่ชิบูย่าเองยังมัวๆเลย 5555ไหนๆก็มาแล้ว ผมก็เลยเก็บภาพวันฟ้ามัวสักหน่อยละกัน
อยู่ได้ไม่นานก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำที่นี่แล้ว จึงลงมาชั้นล่างแล้วเดินเล่นไปเรื่อยๆแบบไม่ได้ดูแผนที่เลย แล้วก็มาโผล่ที่ห้าง LUMINE และดันไปเจอเกมเซนเตอร์ข้างๆกัน ที่นี้ยาวเลยครับ แหะๆ
Taito Station นี่ไงที่สูบเงินผมไปเยอะเลย
ตึกนี้ใครผ่านมาก็มักจะถ่ายรูปกัน
หลังจากหมดตัวไปกับเกมเซนเตอร์แล้ว ก็คิดว่าไปศาลเจ้าเมจิต่อดีกว่า (ทริปนี้ผมไม่ค่อยแพลนว่าจะไปไหนวันไหนครับ เน้นคิดสดๆไปเรื่อยๆมากกว่า) พอตัดสินใจจะไปไหนได้แล้วก็เดินย้อนมาขึ้นรถไฟ JR Yamanote เพียงสองสถานีก็ถึงสถานี Harajuku แล้ว
ศาลเจ้าเมจินั้นอยู่ข้างๆสถานีฮาราจุกุเลย เดินข้ามสะพานมานิดเดียวก็เจอประตูโทริยักษ์แล้วล่ะ ทางเดินเข้าศาลเจ้านั้นกว้างและร่มรื่นสุดๆ เดินเพลินๆไปสักพักก็จะเจอกับถังสาเกกับถังหมักเหล้าอยู่สองข้างทาง เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของศาลเจ้าเมจิ ใครมาก็มักจะถ่ายรูปเสมอๆ หลังจากนั้นก็เดินตรงเข้าไปอีกนิดเดียวก็จะเจอตัวศาลเจ้าเมจิแล้วครับ ใหญ่โตมาเลยทีเดียวล่ะ วันนั้นเจอคู่แต่งงานสองคู่ด้วย ชอบชุดของเค้ามากๆ มันดูสวยสุดๆทั้งของผู้ชายและผู้หญิงเลย อ่อ วันนั้นคนไทยมาเที่ยวที่ศาลเจ้าเมจิเยอะมากครับ
หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็ได้เวลาเปลี่ยนสถานที่ และรอบนี้ยังไม่ได้ไปชิบูย่า ซึ่งตอนนั้นมันก็ใกล้มืดแล้วเลยตัดสินใจจะไปชิบูย่าต่อโดยการเดินไป จากศาลเจ้าเมจิเข้าโอโมเตะซานโดและออกไปชิบูย่า เดินสบายๆครับ มีวัยรุ่นแต่งตัวแนวๆหรือดูดีน่ารักเยอะเหมือนกัน เดินดูเพลินเลย เดินมั่วๆมาเรื่อยๆก็มาถึงชิบูย่า ตอนนั้นพระอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี คนก็เยอะเหมือนปกติ
ผมนั้นไม่ได้เป็นสายช็อปปิ้งด้วยสิ คงไม่มีอะไรให้เดินดูมากนักเลยแอบมานั่งเล่นเน็ตฟรีข้างสถานี ตอนนั้นลมแรงมากและฝนน่าจะกำลังตกตามพยากรณ์อากาศบอก และไม่นานมันก็ตกจริงๆครับ แต่ถึงฝนจะตกคนข้ามแยกชิบูย่าก็ไม่ได้ลดลงเลย .. จากนั้นผมก็การ่มเดินเล่นสักพักก็ไปเจอเกมเซนเตอร์อีกแล้ว ก็เลยถือโอกาสหลบฝนไปในตัว แหะๆ
นี่แหละครับเกมที่ผมเล่นประจำ ชื่อว่า maimai ในไทยก็มีให้เล่นนะ
เล่นได้แปปเดียวก็เดินออกมาข้างนอก อ้าว! ฝนหยุดละ ตกแปปเดียวเอง .. แต่ลมนั้นแรงมาก แรงไม่หยุดจริงๆ และเพิ่งมานึกได้ว่า ถ้าลมแรงมากรถไฟมันอาจจะหยุดวิ่ง .. ถ้าหยุดวิ่งนานๆแล้วจะต้องเดินจากชิบูย่าไปที่นิปโปริก็ใช่เรื่อง (ถึงจะเดินได้สบายๆก็เถอะ เพราะชอบเดินอยู่แล้ว) เลยขอตัวละกัน
พอนั่งรถไฟกลับมาที่นิปโปริ ก็งานงอกละครับ ฝนตกกับลมแรงมาก มากขนาดที่ทำให้ร่มผมแหกได้ ลำบากมากๆในวันนั้น กระเป๋ากล้องผมก็ไม่ได้กันฝนด้วยสิ กลัวกล้องกับเลนส์อีก .. ตอนนั้นผมต้องกางร่มทำมุมต่ำกว่า45องศาเลยล่ะ ไม่งั้นเละแน่นอน เดินก็ลำบาก เจอลมสวนตลอดเวลา ระแวกนั้นก็เงียบสุดๆไม่มีคนเดินกันเลย แถมอยู่ตรงสุสานด้วยนะ ฮาๆ แต่ฝืนเดินมาเรื่อยๆก็ถึงที่หมายจนได้ หลังจากนั้นก็ได้ข่าวว่ามีรถไฟบางจุดหยุดวิ่งเป็นชั่วโมงๆเลย ก็ถือว่าโชคดีเหมือนกันที่กลับมาก่อน
Photos: j-reco.com