บทนำ
เพื่อนๆของเราในเอกญี่ปุ่นเกือบ 30 คนพร้อมใจกันเลือกมหาวิทยาลัยที่จะไปแลกเปลี่ยนในจังหวัดต่างๆ ที่ไม่ใช่ ‘โตเกียว’ แต่เรากลับต่างกว่าคนอื่นเพราะเราตัดสินใจเลือกไปเรียนในเมืองหลวงของญี่ปุ่นแห่งนี้ ตอนที่บอกเพื่อนๆ ว่าเราจะไปโตเกียว ทุกคนพากันพูดว่า ‘โห ! โตเกียวเลยเหรอ แพงนะ’ หรือไม่ก็ ‘ไปโตเกียว ไปทำอะไร?’ เราเริ่มหวั่นว่าสิ่งที่เราเลือกมันถูกต้องไหม เราจะอยู่ยังไง แถมนอกจากเงินค่าเทอมที่มหาวิทยาลัยออกให้เราก็ไม่ได้เงินสนับสนุนอะไรอีก เงินจะพอไหม เตรียมใจไว้เลยว่าต้องลำบากแน่ๆ แต่เชื่อไหม ว่าสิ่งที่เราได้เจอ ได้เรียนรู้มาจากโตเกียว ให้อะไรเรามากกว่า ‘ของแพง’ ให้อะไรเรามากกว่า ‘เมืองหลวงที่ไม่มีอะไร’ เสียอีก When I was in Tokyo จะเป็นเรื่องที่ให้ทุกคนได้เห็นภาพของโตเกียวมากขึ้น จะทำให้ได้รู้ว่าชีวิตในโตเกียวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
Chapter 1
#1 : เปิดหอพักนักศึกษาราคา 17,000¥ ในเมืองที่ว่ากันว่าค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก เปิดหอพักเด็กแลกเปลี่ยนในโตเกียวให้ดูกันทุกซอกทุกมุม นี่แหละที่ที่เราจะอยู่ตลอด 1 ปีนี้
#2 : เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย โตเกียวก็เช่นกัน จะมาอยู่ญี่ปุ่นต้องทำอะไรบ้าง มีการต้อนรับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนยังไงบ้าง มาหาคำตอบพร้อมกันเลย
#3 : มหา’ลัยของเราน่าอยู่ พาไปรู้จักกับมหาวิทยาลัยโคะคุชิคัง ที่ๆ คอยดูแลเรามาตลอด 1 ปี รวมถึงพาไปดูชีวิตในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น สนุกขนาดไหนห้ามพลาด
#4 : ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นเริ่มต้นจาก ‘ฮานามิ’ ใครจะไปรู้ว่าแค่ไปดูดอกไม้จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเรามันพัฒนาได้มากขนาดนี้
#5 : จนขนาดนี้ต้องไบโตะ(งานพิเศษ)แล้วล่ะ!? เล่าเรื่องการทำไบโตะ (งานพิเศษ) ครั้งแรกในชีวิตเพื่อแลกกับความอยู่รอดในเมืองใหญ่ที่ทำให้เราได้เห็นคนญี่ปุ่นในมุมมองของลูกค้า
#6 : งบน้อยอ่ะกินอะไรดี ? พาไปหาแหล่งอาหารถูก และอร่อยที่เราชอบแวะเวียนไปตลอด 1 ปี
#7 : ขึ้นชื่อว่าคนญี่ปุ่น... ความสัมพันธ์กับเพื่อน เจ้านาย คนญี่ปุ่นที่บางทีก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด มีอะไรมากมายที่เรายังไม่เข้าใจพวกเขาหรืออาจจะเข้าไม่ถึงเลย
#8 : เมื่อผู้หญิงมาคู่กับการช็อปปิ้ง รู้แหละว่าเงินมีจำกัด แต่อยากช็อปปิ้งอ่ะมันช่วยไม่ได้ เราจะพาทุกคนไปหาแหล่งช็อปปิ้งถูกๆ ในโตเกียวที่เราชอบไปเอง
#9 : ฉะโด พิธีชงชา กิโมโน พามาดูพิธีชงชาแบบเต็มรูปแบบ จัดเต็มในชุดกิโมโนครั้งแรกในชีวิต ดื่มจริง นั่งจริง เมื่อยจริง
#10 : ทัศนะศึกษาฟูจิที่ไม่เห็นฟูจิ เล่าความเฟลแต่ประทับใจกับการไปตามฟาฟูจิซังกับทริปครั้งสุดท้ายกับมหาวิทยาลัย
#11 : My routine in 1 day อยู่ๆ มาเกือบจะครบปี ชีวิตก็เริ่มวนลูปไปมา มาดูกันว่าเมื่อมาอยู่ญี่ปุ่นเราต้องทำอะไรบ้างใน 1 วัน
#12 : หิมะตกในเดือนพฤศจิกายน เล่าเรื่องความตื่นเต้นของสองเด็กไทยเมือครั้งมีหิมะหลงฤดูตกในรอบ 50 ปีของญี่ปุ่น
#13 : เรื่องที่รู้สึกขัดใจในญี่ปุ่น ตอนแรกๆ ก็ตื่นตาตื่นใจอยู่หรอก แต่พออยู่มานานๆ เข้าก็รู้สึกคิดถึงสิ่งที่คุ้นชินตอนอยู่ที่ไทยขึ้นมา ที่ไทยทำได้ แต่ที่ญี่ปุ่นทำไม่ได้
#14 : เม้ามอยเพื่อนรัก ความทรงจำสุดแสนประทับใจของเพื่อนๆที่คอยอยู่ข้างๆเราตลอด 1 ปีที่ญี่ปุ่น
#15 : ถึงเวลาอำลา ‘พิธีจบการศึกษา’ ข้อคิดต่างๆ ที่ได้ในวันพิธีจบการศึกษาของนักเรียนแลกเปลี่ยน ในที่สุดการจากลาก็มาถึงจนได้
#1 : เปิดหอพักนักศึกษาราคา 17,000¥ ในเมืองที่ว่ากันว่าค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก
เช้าวันที่ 9 มีนาคม เราลากกระเป๋าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า หม้อ กระทะที่พ่อกับแม่เตรียมให้เนื่องจากกลัวลูกอดตายที่ญี่ปุ่นออกมายังห้องรอรับผู้โดยสารที่สนามบินนาริตะและได้เจอกับฮิโตมิจัง บัดดี้ชาวญี่ปุ่นที่มารอรับ นางน่ารักมากเพราะมีการเขียนชื่อเราลงบนกระดาษเล็กๆ พร้อมกับข้อความว่า ‘Welcome to Japan’ มาให้ด้วยและตอนนั้นเองเราก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อนคนไทยอีกคนที่ชื่อใบเฟิร์นก็นั่งเครื่องไฟลท์เดียวกันมาพร้อมกันด้วย เราทักทายกันอย่างเก้ๆ กังๆ เพราะเขินอยู่ แต่ใครจะไปรู้ว่านี่แหละคนที่จะคอยเป็นเพื่อน คอยช่วยเหลือเราตลอด 1 ปีนี้
ตอนมาถึงญี่ปุ่น
ป้ายจากฮิโตมิจัง
จากนาริตะเรานั่งรถบัสเข้าโตเกียวโดยมีงบจากทางมหาลัยที่นี่ออกค่ารถ พอมาถึงชิบุย่าก็ต้องนั่งรถบัสต่อไปอีก ตอนแรกก็ไม่อะไรหรอกนะ แต่พอเห็นแถวเข้าคิวรถบัสก็ต้องหันกลับมามองกระเป๋าลากใบใหญ่ กระเป๋าเป้ กระเป๋ากล้องของตัวเอง จะร้องไห้ T^T รถก็แคบ คนก็เต็ม จะขึ้นไปได้ยังไงวะ !? แต่โวยวายอยู่ในใจสักพักสุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่ดี กว่าจะลากกว่าจะขนของขึ้นได้นี่ทุลักทุเลมาก กระเป๋าก็ใหญ่ หนักก็หนัก แถมทุกคนบนรถก็มองเราด้วยสายตาเหมือนสมเพช แบบอีหนูคนนี้จะย้ายบ้านเหรอ ? (ก็เหมือนย้ายจริงๆปะ?) ต้องขอบคุณฮิโตมิจังและใบเฟิร์นที่ช่วยกันยกกระเป๋าของเราให้จนมาถึงหอ
หลังจากลงจากรถและลากกระเป๋าเข้าซอยท่ามกลางฝนที่ไม่รู้จะตกมาทำไม ในที่สุดเราก็มาถึงหอพักกันซะทีซึ่งเป็นหอในของมหาวิทยาลัยที่ ค่าหออยู่ที่ 17,000 เยน ประมาณ 4,900 บาทต่อเดือน บอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้คาดหวังกับห้องที่เราต้องอยู่ 1 ปีนี้มากนัก เพราะขึ้นชื่อว่าอยู่กลางเมืองหลวงห้องก็คงจะคับแคบเป็นธรรมดา
ระหว่างนั่งรถบัส
ภาพรวมห้องทั้งหมด
ก่อนขึ้นห้องเราก็ไปรายงานตัวกับโยชิดะซัง คุณลุงผู้ดูแลหอและรับคีย์การ์ดที่ใช้กันมารุ่นต่อรุ่น แกกำชับเราว่าห้ามหายนะไม่งั้นต้องจ่าย 2,000 เยน เสร็จแล้วก็ขึ้นห้องที่อยู่ชั้น 3 ประตูห้องแต่ละห้องจะมีระบบล็อคแน่นหนาด้วยคีย์การ์ด ด้านในก็มีกลอนให้ล็อคอีกชั้น และพอได้เห็นด้านในก็ถึงกับร้อง เห้ย ! เลยทีเดียว เพราะมันกว้างกว่าที่คิด อาจจะไม่ได้กว้างแบบมากมายอะไรแต่ก็มีพื้นที่มากพอให้เราเต้นๆ ในห้องได้ แถมในห้องยังแบ่งสัดส่วนเอาไว้ชัดเจน ฝั่งขวาจะเป็นห้องน้ำ ฝั่งซ้ายมีเคาท์เตอร์ครัวเล็กๆ มีอ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า ตู้เย็น ติดกันมีห้องเก็บของเก็บของมรดกตกทอดจากรุ่นพี่ที่เหมือนไม่ได้ผ่านการเก็บทิ้งมาก่อน เราลองไปคุ้ยๆ ดูก็ได้กระจกเต็มตัว พัดลม ผ้าห่มไฟฟ้า กระเป๋าเดินทางให้เราใช้ได้ตลอดทั้งปี
เตียงนอนในห้อง
ห้องครัวรวมในหอ
โต๊ะเขียนหนังสือ
กระจกที่อยู่ในห้องเก็บของ
ถัดจากส่วนนี้มีประตูบานเลื่อนเปิดเข้าไปเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดตั้งบิวท์อินรอบห้อง มีเตียง มีฟูกนอนและผ้าห่มให้ มีทีวี มีแอร์ มีไวไฟส่วนตัว มีหน้าต่างเยอะซึ่งดีมาก มุมหนึ่งของห้องมีโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่ติดกับหน้าต่างทำให้เราสามารถเห็นหนูน้อยนักเรียนงอแงไม่อยากไปโรงเรียนหรือคุณปู่ที่ออกมาทำสวนตอนเช้าได้ และเป็นที่สำหรับอ่านหนังสือทำการบ้านของเราตลอด 1 ปี
ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นห้องของตัวเองก็คือโล่งใจค่ะ ถือว่าเป็นห้องที่ดีและถูกเลยทีเดียวในเมืองหลวงแสนแพงแห่งนี้ คืนแรกที่มาถึง หลังจากจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง เราก็ถ่ายรูปห้องลงเฟซบุ๊ค 555+ เพื่อนๆ ต่างมาคอมเม้นถามกันใหญ่ว่าห้องราคาเท่าไหร่ ห้องดีมาก ! หลังจากนั้นก็โทรหาที่บ้านเพื่อบอกให้รู้ว่า เราก็ไม่ได้อยู่แบบอดอยากเสียทีเดียวหรอก (ตราบใดที่ไม่เบี้ยวค่าหอ) อย่างน้อยเราก็มีที่ซุกหัวนอนดีๆ ตลอด 1 ปีเลยนะ !