Koyasan เส้นทางแสวงบุญกับใบไม้เปลี่ยนสี #2

Special trip: การเดินทางไม่สิ้นสุด

EP 01

EP 02-Part1

EP 02-Part2

EP 03-Part1

EP 03-Part2

หลังจากเมื่อวานเราได้ไปเดินชมสุสานให้ขนแขนสแตนอัพกันมาแล้ว วันนี้เราจะเดินเที่ยววัดกันทั้งวัน

ในอดีตวัดที่อยู่ในบริเวณหุบเขาโคยะมีมากถึง 1,812 แห่ง ปัจจุบันเหลือเพียง 117 แห่ง

อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่าโคยะแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของศาสนาพุทธนิกายชินงอน

คนญี่ปุ่นส่วนมากจึงให้ความสำคัญและพูดกันว่าในชีวิตหนึ่งต้องมาวัดโคยะให้ได้สักครั้ง

โดยวัดแรกที่เราจะไปเยี่ยมชมคือ วัดคองโกบุจิ (Kongobuji temple)

ก่อนเข้าวัด ตามธรรมเนียมก็ต้องล้างมือให้สะอาด โดยหน้าวัดจะมีอ่างให้ล้าง

สามารถล้างมือ ล้างหน้า ล้างเท้า บ้วนปากได้

เพราะถือว่าการเข้าไปในบริเวณศักดิ์สิทธิ์ต้องชำระล้างสิ่งชั่วร้ายออกก่อน สงสัยว่าผมคงต้องอาบทั้งตัวเลย ฮ่าๆๆๆ

วัดคองโกบุจิ ถือได้ว่าเป็นหัวใจของโคยะซัง วัดนี้เก่าแก่มากสร้างจากไม้ทั้งหมด

พอเข้าไปด้านในก็จะเจอกับอาคารหลักซึ่งเป็นไม้แกะสลักสวย อลังการสุด ๆ อายุเก่าแก่เป็นพันปี

แต่ปัจจุบันยังสร้างไม่เสร็จนะ ห๊ะ! ทำไมเป็นงั้นล่ะ? จริง ๆ แล้วมีเหตุผลที่ลึกซึ้งมาก ๆ อยู่นะ

 

ตามปรัชญาโบราณของญี่ปุ่น เชื่อว่าอาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่สร้างเสร็จแล้ว

นับวันมีแต่จะรอวันพังสลาย วัดจึงสร้างแบบค้างคาไว้แบบนี้เพื่อให้ยังสืบทอดอยู่ต่อไป ฮู้วววว ลึกมากกกก

ด้านในวัดถ้าดูภาพรวมจะเหมือนสร้างไม่เสร็จจริง ๆ แต่ก็ยังสวยงาม

คานไม้ที่รองรับหลังคาจะแกะสลักคล้ายคลื่นน้ำ เพราะเชื่อว่าจะทำให้พื้นที่เต็มไปด้วยน้ำและจะไม่เกิดไฟไหม้

ด้านหลังมีสวนหินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น อันนี้ไม่ได้เข้าไปดู ได้แต่ชะเง้อมองเพราะคนเยอะมาก

ใครมีเวลาเข้าไปชมด้านในห้องโถง จะมีรูปท่านโคโบไดชิประดับอยู่

นั่งพักเย็น ๆ ให้หายเหนื่อย จะมีชาและขนมมาบริการด้วย ที่สำคัญ ฟรี!!

ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นถังไม้ขนาดใหญ่สองถังอยู่บนหลังคา

เอ๊ะ? เขาเอาไว้ทำไม มีบันไดด้วย งงละเซ่! เดี๋ยวไปถามหลวงพี่ให้นะ

สรุปได้ความว่า สมัยก่อนเนี่ยชอบมีฟ้าผ่า ไฟไหม้ เขาเลยเตรียมรับมือโดยการเอาถังไม้บรรจุน้ำไว้เต็มถัง

ถ้าไฟไหม้หลังคาก็เทดับไฟซะเลย และบันไดที่เห็นก็เอาไว้ให้พระขนน้ำขึ้นไปเติม ห๊ะ!! สุดจัดปลัดบอกจริง ๆ

เดินตามทางมาเรื่อย ๆ ก็เจอคุณลุงท่านนึงกำลังยกดินสอขึ้นมา สายตาเล็งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

จากนั้นก็ก้มลงบรรจงวาดลายเส้นอย่างใส่ใจ แกคงมีความสุข นั่งมองวัดสวย ๆ วาดรูปเพลิน ๆ สบายใจ

และไม่ใช่แค่ลุงแต่ยังมีอีกหลายคนที่มานั่งวาดรูปกันบริเวณนี้ ยังมีนักเรียน เด็ก ๆ มากันเป็นกลุ่ม

โดยมีหลวงพี่เดินนำอธิบายความสำคัญของวัดพลางจูงมือเด็กไปด้วย เป็นภาพที่น่ารักมาก

ทำไมคนถึงให้ความสำคัญกับพื้นที่แห่งนี้กันจัง ต้องมีอะไรที่พิเศษแน่นอน

และความพิเศษที่ว่าก็คือบริเวณแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเจดีย์คอมปองไดโท (Konpon daito)

สีแดงเด่นสวยตั้งตระหง่าน สูงถึง 48.5 เมตร!! ด้านในมีพระพุทธรูปเก่าแก่สีทองอร่ามประทับอยู่

เป็นเจดีย์หลักที่ท่านโคโบไดชิสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติธรรมของพระภิกษุ

ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์หลักของพระพุทธศาสนานิกายชินงอนเลยก็ว่าได้

พอเดินเที่ยวชมวัดได้สักพักก็เห็นกลุ่มคนกำลังก้มหน้าก้มตาหาอะไรสักอย่าง

เลยเดินไปดู ไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่นแต่มีหลายเชื้อชาติมาก

กำลังช่วยกันหา ว่าแต่หาอะไร? หรือมีคนทำกระเป๋าเงินหล่นรึเปล่า

ด้วยความที่เป็นคนดีมาก! เลยไปช่วยเขาหา แต่ก็เริ่มเอะใจเพราะมันหากันเยอะเหลือเกิน

แล้วก็หาอยู่ใต้ต้นไม้ที่เดียวด้วยนะ เห้ย! ไม่น่าใช่กระเป๋าละ เลยถามคนข้างๆ

ได้ความว่ากำลังหา “ใบสนที่มีสามแฉก” ห๊ะ!! เพื่อ???

จะขอเล่าตำนานให้ฟังกันก่อน สมัยเมื่อน๊าน นาน มากแล้ว ก่อนจะมาเป็นโคยะซัง

ท่านโคโบไดชิไปศึกษาธรรมที่ประเทศจีน ท่านก็เสี่ยงทาย ไม่ได้ใช้คุกกี้นะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย

ท่านใช้ “ตรีวัชระ” เป็นตรีสามง่ามสองทาง ทำไมใช้ตรีก็ไม่รู้เหมือนกัน

พอท่านโยนเสี่ยงดู ตรีก็ลอยมาที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วก็มาเกาะตรงต้นสน!! (ภาพหนังจีนลอยขึ้นมาในหัว)

ใช่แล้วครับ ต้นสนที่ทุกคนกำลังหาใบของมันอยู่นี่แหละ เรียกว่า “ต้นสนวัชระ”

ท่านก็เลยใช้บริเวณแห่งนี้ในการก่อตั้งศาสนาและศึกษาธรรม จนมาเป็นโคยะซังในปัจจุบัน สุโค่ยยย

ทุกคนจึงเชื่อว่าถ้าเจอสนสามใบก็จะโชคดีสุด ๆ ยิ่งกว่าถูกหวยขออะไรก็ได้ดั่งใจ (ปกติต้นสนชนิดนี้มีแค่สองใบ)

คนรุ่นใหม่อย่างผมไม่เชื่ออะไรแบบนี้หรอกครับ หึหึ !!

ว่าแล้วก็วางกระเป๋า ก้มหน้าก้มตาหาใบสนอย่างตั้งอกตั้งใจ (เสียเวลาเที่ยวชิบหาย)

หลังจากเสียเวลากับใบสนก็เดินไปเรื่อย ๆ มุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ที่อยู่สุดทาง

ระหว่างที่เดินไปเราก็จะเจอกับวัดอีกหลายที่ ทั้งใหญ่และเล็ก

สังเกตเห็นว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น ร้านค้าของฝากก็มีอยู่มากมาย

เส้นทางก็เป็นถนนสองเลนเล็ก ๆ เดินได้เรื่อย ๆ ชมใบไม้เปลี่ยนสีไปตามซอกซอยเพลินตามาก

ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ ที่นี่คือ ประตูไดมอน (Daimon Gate)

ในอดีตประตูนี้เคยใช้เป็นทางเข้าหุบเขาโคยะ เป็นประตูที่ใหญ่ที่สุด สูงกว่า 25 เมตร สีแดงสด สูงใหญ่น่าเคารพ

พอมองประตูนี้แล้วทำให้รู้สึกตัวเองเล็กจ้อยและยอมจำนนต่อเทพเจ้าด้านข้างของประตูทั้งสองบาน

มีรูปปั้นขนาดใหญ่แกะสลักจากไม้ทั้งต้น เรียกว่า Kongo Rikishi เป็นเทพเจ้าที่คอยปกป้องคุ้มครองคนในเมือง

ยังเป็นรูปปั้นไม้แกะสลักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย เดินผ่านประตูเหมือนกำลังโดนมองตลอดเวลา

นี่คงเป็นเทคนิคสร้างกล้องวงจรปิดในอดีตแน่นอน “ฉันกำลังจับตามองแกอยู่เจ้ามนุษย์”

ด้านข้างประตูใหญ่มีทางขึ้นภูเขาอยู่เส้นหนึ่ง มีเสาโทเรอิสีแดงตั้งเรียงทอดยาวขึ้นไป

เหมือนมีพลังดึงดูดที่น่าสนใจจนผมต้องเดินไปดู

พอเดินขึ้นไปสักพักจะมีป้ายเตือนว่าให้ระวังหมี

ถึงตรงนี้ก็เลยหยุดเดินเพราะห่วงชีวิตกลัวโดนหมีกิน

แล้วก็มองดูป่าไม้รอบ ๆ มันดูสวยงามและสงบ หลายต่อหลายครั้งที่การเดินทาง

โดยเฉพาะผ่านภูเขาที่รายล้อมด้วยต้นไม้ มักจะทำให้เราสงบและเห็นความจริงบางอย่าง

นั่นคงเป็นเพราะเราเติบโตมาในโลกสมมุติที่คนเราล้วนกำหนดกฎเกณฑ์กันขึ้นมาเองทั้งนั้น

พอได้มาในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติก็เลยได้เห็นอะไรที่มัน "จริง" ไร้การปรุงแต่ง

การมาหุบเขาโคยะซังในครั้งนี้นอกจากจะได้เพลิดเพลินกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามแล้ว

สิ่งหนึ่งที่ได้กลับไป คือความรู้สึกที่ว่า “ชีวิตล้วนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ”

เส้นทางจาริกแสวงบุญเส้นนี้มอบความหมายของการเดินทางให้ผมมากมาย

ธรรมชาติคอยหล่อเลี้ยงพวกเราให้เติบโตขึ้น เป็นความจริงที่สุด

ถ้ามีโอกาส โคยะซังแห่งนี้ยังคงน่าค้นหาเสมอ และที่สำคัญสามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดูกาล

แต่ละช่วงเวลาก็จะได้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ต่างกันไปเช่น หิมะ ซากุระ ป่าฝน และใบไม้เปลี่ยนสี

แม้ชีวิตเราจะจบลงไปแล้ว แต่เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะยังคงอยู่ไปอีกนานแสนนาน

 

ปล. สนสามใบไม่เคยมีอยู่จริง ผมเอาอีกใบมาต่อกันเฉย ๆ ฮ่า ๆ

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นสิ่งที่ทำให้เราโชคดีสุดก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใบสน

แต่ขึ้นอยู่กับการมองโลกของเรา และสองเท้าคู่นี้ ก็กำลังพาผมออกเดินทางต่อไป

ไว้เจอกันใหม่ สวัสดีครับ..... :)))

FOLLOW US ON
FACEBOOK