Special trip: การเดินทางไม่สิ้นสุด
EP 01
EP 02-Part1
EP 02-Part2
EP 03-Part1
ตื่นสายจ้า.....รอบรถเช้าสุดกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
ผมหอบของรุงรัง วิ่งมารอที่หน้าโรงแรม ไม่นานรถบัสมิโดริสีเขียวสดก็มาจอด
ผมจองรอบรถมาล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ไทย สะดวกสบายมาก ตอนขึ้นรถก็ยื่นอีเมลยืนยัน
หรือจะพิมพ์ใบยืนยันมาโชว์ก็ได้ จาก Kirari onsen ไป Koyasan ราคาอยู่ที่ 2,900 เยน
สามารถจองรถบัสล่วงหน้าได้ทุกเมืองทั่วญี่ปุ่นเลย ใครสะดวกเดินทางไกลแต่ไม่ชอบขับรถก็เลือกใช้บริการได้จ้า
ทางไปจองก็เข้าเว็บนี้โลด https://japanbusonline.com/en โชคดีคือมีภาษาอังกฤษ ฮ่า ๆ
รถบัสมุ่งหน้าไปตามหุบเขา เส้นทางคดเคี้ยวพอสมควร ใช้เวลาราว 1:30 ชั่วโมงไปถึงเทือกเขาโคยะซัง
ระหว่างทางเราจะได้เห็นธรรมชาติที่สวยงาม ภูเขาเริ่มเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง
ตื่นเต้นมาก!! เกิดมาเคยเห็นแต่ในรูป วันนี้ได้เห็นของจริง ฟินสุด ๆ (ก็คนมันไม่เคย ฮ่า)
ก่อนถึงโคยะซัง รถจะแวะจอดพักให้เข้าห้องน้ำ
และเที่ยวชมหอคอยที่มองเห็นภูเขาหลากสีจุดนี้เช็คเวลาดี ๆ นะ เพราะรถไม่รอจ้า
ในที่สุดเราก็มาถึง Koyasan สถานที่เก่าแก่น่าค้นหา ก่อนจะเดินเที่ยวขอเล่าประวัติให้ฟังนิดนึง
ในปี ค.ศ. 816 พระภิกษุนามว่า คูไค (ค.ศ. 774-835) ซึ่งภายหลังได้รับการขนานนามหลังจากการมรณภาพว่า โคโบไดชิ
ได้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายชินงอนและหมู่อารามที่รู้จักกันในนาม โคยะ
กล่าวกันว่ายอดเขาทั้งแปดและที่ลุ่มนี้มีลักษณะคล้ายดอกบัว ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความเป็นมงคล
ตลอด 1,200 ปี โคยะซังนั้นประดับประดาด้วยอารามที่ยังคงมีชีวิตและเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของญี่ปุ่น
อู้วววววว ถ้าคนชอบประวัติศาสตร์คงกรี๊ดแตกแน่นอน รวมถึงผมด้วย
เส้นทางท่องเที่ยวใน Koyasan จะมีถนนหลักหนึ่งเส้นยาวจากใต้สุดคือฝั่งประตู Daimon-minami
ไปยังฝั่งเหนือสุดตรงสุสาน Okunoin-mae cemetery มีบริการรถบัสตลอดเส้นทาง
สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีแพ็กเกจตั๋วรถบวกค่าอาหารแบบ One day trip ในราคาแสนถูก
ใครสนใจหาข้อมูลเอาเองนะครับ เพราะผมเดิน!! ฮ่า ๆ คือเอาจริง ๆ ก่อนจะมาก็คิดเรื่องเดินทางด้วยบัส
แต่พอเดินดูแล้วระยะทางจากเหนือไปใต้มันก็เดินได้ไม่ถึงกับเหนื่อย แถมตลอดเส้นทางยังมีอะไรให้แวะดูเยอะแยะ
เลยขอแนะนำให้เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ดีกว่า เอาเป็นว่าวันนี้เราจะไปเที่ยวฝั่งสุสาน Okunoin-mae cemetery
จะบ้าเหรอไปเที่ยวสุสาน มันน่าดูตรงไหนวะ ฮ่า ๆ ด้วยความสงสัยเลยเปิดหาประวัติในอากู๋
จนต้องร้อง ฮู้ววววววว สุด ๆ
ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรสู่สุสานของพระโคโบไดชิ ซึ่งกล่าวกันว่าความประสงค์ของท่านในการเผยแผ่ศาสนาไม่เคยจางหายจวบจนปัจจุบัน
บริเวณนี้โอบล้อมด้วยต้นไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยปี และเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์รำลึกถึงผู้ล่วงลับกว่า 200,000 ราย!!
อาทิ เหล่าชนชั้นปกครองที่มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์
พอเราเดินไปตามทางเดิน สองข้างทางเป็นสุสานและต้นสนที่ใหญ่มาก ๆ ทำให้รู้สึกต่ำต้อยและสงบปากสงบคำ
ดูมีความขลังสุด ๆ จุดประสงค์หลักคนญี่ปุ่นจะมาเคารพสุสานของบรรพชนที่ล้วนเป็นคนเก่ง ๆ ในหลาย ๆ ยุค
อาจจะคล้ายกับเราไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุตามเจดีย์ในเมืองไทยนั่นแหละ
ถ้าเกิดว่าใครยังไม่สะใจกับการรำลึกอดีต จะมีแพ็กเกจหนึ่งที่น่าสนใจ
พระจะพานักท่องเที่ยวเดินตามทาง แต่เป็นเวลากลางคืนนะ สองข้างทางจะประดับโคมไฟ สวยงามแต่ก็ดูน่ากลัว
การเดินไปตามทางลาดนั้นเป็นเสมือนการกระโดดเข้าไปสู่หน้าประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น
ถ้อยคำสรรเสริญอุทิศแด่เหล่าโชกุน นักเขียน นักแสดง กวี และแม้กระทั่งบริษัท เช่น บริษัทกูลิโกะ เป็นจุดเด่นของเส้นทางเส้นนี้
ผมเดินไปเรื่อย ๆ ดูโน่นนี่ตามทาง รู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมาก ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ
สิ่งที่สัมผัสได้คืออากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว คงเพราะต้นไม้เยอะ ความชื้นเริ่มเกาะตามเลนส์กล้อง
ยังเดินไม่ถึงปลายทางแต่ก็เต็มอิ่มพอล่ะ (ปวดขาชิบหาย) เดินไปจนถึงทางแยกเลี้ยวออกมาจะเจอกับความตื่นเต้น
กริ๊ดดดดดด เหมือนอยู่คนละโลก จากเขียว ๆ เย็น ๆ ชุ่มชื้น พอออกมาข้างนอกก็เจอกับแดดร้อน ๆ
และใบไม้เปลี่ยนสีจ้า เหลือง ส้ม แดง มาเต็มมาก เรียงรายเป็นทางเดินสวยเหมือนภาพวาด
ไทยจินผู้ไม่เคยเจอกระโดดโลดเต้นอย่างกับเด็กได้ของขวัญ ถ่ายรูปรัว ๆ เลยค่า
บริเวณตรงนี้คือสวนสำหรับพักผ่อนจะมีสะพานสีแดงเรียกว่า Gobyo-bashi bridge
ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ก็จะได้ชมความงามอย่างเต็มที่ ใกล้ ๆ กันก็มีสุสานต่าง ๆ
ถ้าใครพอมีเวลาเหลืออยากให้เดินไปจนสุดจะมี อนุสาวรีย์ Asano Takumi mo kami
หรือ 47 โรนิน ซามูไรที่มีชื่อเสียงที่สุดของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอยู่ด้วย
แต่ปวดขาแล้ว ผมเลยใช้เวลาตรงนี้นอนโง่ ๆ ซึมซับบรรยากาศรอบตัว
สมกับเป็นที่ที่คนอยากเอาศพมาฝัง ผมไม่คิดว่าสุสานจะสวยงามขนาดนี้
หลังจากเต็มอิ่มกับฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว ก็ถึงเวลากลับห้อง รู้สึกจะค่ำเร็วกว่าปกติ
ระหว่างทางยังมีนักท่องเที่ยวอยู่หนาตา แต่ร้านค้าเริ่มปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น
ผมเดินหาร้านข้าวจนเหนื่อย เหลือร้านเดียวที่ยังพอมีราเมงให้กิน
แนะนำว่าถ้าจะเที่ยวตอนกลางคืนให้รีบกินข้าวหรือสำรองอาหารไว้
ร้านของกินมีน้อย แต่ร้านของฝากมีเยอะมากจ้า
ระหว่างทางกลับที่พักภายในซอยก็เงียบกันหมดแล้ว
ดูวังเวงอยู่เหมือนกัน ลืมบอกไปว่าวัดมีบริการที่พักแบบชั่วคราวรวมแพ็กเกจเดินป่าด้วย มีอยู่หลายแห่ง
แต่ต้องจองล่วงหน้าสักหน่อย เพราะถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วงคนจะแน่นมาก
ผมจองบ้านพักผ่าน Airbnb ในราคาต่อคนอยู่ที่ 4,500 เยน ใครสนใจลองเข้าไปดูที่ KOYASAN GUEST HOUSE KIMINOYA
บ้านเป็นส่วนหนึ่งไม่ต่างจากวัด คือทั้งหมดในโซนโคยะซังตรงนี้ โดยพื้นที่แล้วเป็นของวัดเกือบทั้งหมด
บ้านพักแบบ Guest house สะดวกสบายเป็นส่วนตัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบ แถมอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวด้วย
คืนนี้อากาศหนาวมาก ๆ ต้องเปิดฮีตเตอร์ไว้ เป็นค่ำคืนที่สงบและเยือกเย็นแฝงไปด้วยความน่ากลัว
แต่ภาพใบไม้เปลี่ยนสีวันนี้ยังคงอบอุ่นและช่วยคลายความเปลี่ยวได้บ้าง (พูดเหมือนมานอนป่าช้า ไม่ขนาดน้านน)
พรุ่งนี้เราจะเดินไปอีกฝั่ง รอดูกันว่าจะมีอะไรที่สวยและน่าสนใจบ้าง คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ
ต้องรีบนอนเพราะดวงอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตีห้าเดี๋ยวเที่ยวไม่หมด บั๊ยยยยย