Special trip : การเดินทางไม่สิ้นสุด
EP 01
EP 02-Part1
1-5 พ.ย. 2017
หลังจากร่ำลากับโฮสต์ ผมออกเดินทางอีกครั้งย้อนกลับไปยังตัวเมือง Wakayama
แต่เดี๋ยวก่อน! ผมไม่กลับไปแบบธรรมดาแน่นอน อยากจะออกนอกเส้นทางที่เคยผ่านมา ลองไปดูแผนที่คร่าวๆกันครับ
ผมต้องการเดินทางไปยัง Ryujin Onsen ในหุบเขาและสถานีขึ้นรถบัสต้องเริ่มต้นจากเมืองนี้เท่านั้น
KiiTanabe เมืองท่าเล็กๆเป็นสถานีย่อยของเมือง Tanabe ที่ผมไม่ได้รู้สึกว่าต้องมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
จะว่าเป็นแค่เมืองทางผ่านก็ได้ ไม่ได้มีอะไรที่สนใจเท่าไร แต่ผมกำลังคิดผิด ตามผมมาครับ
ผมจะพาไปดูว่าเมืองเล็กๆนี่ มันช่างมีพลังดึงดูดรุนแรงเหลือเกิน ไปกันเล๊ยยยย
จากบ้านโฮสต์นั่งรถไฟแบบ Local มาลงที่สถานี Kiitanabe หรือใครมาจากตัวเมือง Wakayama ก็แวะลงสถานีนี้ได้เลย
ไม่ต้องกลัวหลงทาง เพราะเส้นรถไฟสายนี้มีเส้นเดียวที่ลากยาวจากบนลงล่าง
Kiitanabe จึงเป็นสถานีไม่ใหญ่มาก คนไม่เยอะ นายสถานีก็ใจดีครับ
ผมจอง Guest house ไว้แถวๆนี้ ดูแผนที่จากอากู๋แล้วอยู่ไม่ไกล เลยตัดสินใจเดินแบกเป้สองใบพร้อมกับหิ้วของฝาก
สภาพกูเหมือนโฮมเลสมาก เดินไปเรื่อยๆชักจะเหนื่อย เป้ก็ดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ระยะทางเริ่มไกลตามความเหนื่อย
เป็นไปได้อยากเดินย้อนกลับไปเช่าจักรยานจริงๆ โอ้ย! คิดผิดแล้วที่เดิน.....
ถ้าใครอยากเช่าจักรยานปั่นชมเมืองเดินออกมาจากสถานี เลี้ยวขวาจะเจอที่เช่าจักรยาน ราคาก็ตามรุ่นที่ต้องการครับ
ผมเดินทุลักทุเลมาจนถึงที่พัก โอ้วพระเจ้า!!....ที่พักสวยมาก?? เปล่าๆ คือของหนักมากหลังจะหัก ขอวางของก่อนนะ
สักพักได้ยินเสียงต้อนรับ “สวัสดีคร้าบบบบ” มาแต่ไกล ตอนแรกคิดว่าเป็นคนไทยมาพัก เปล่าเลย
แกเป็นเจ้าของบ้านที่ชื่นชอบเมืองไทยมาก ชนิดที่ว่าซื้อป้ายห้องน้ำจากไทยกลับมาติดที่บ้านตัวเอง
ป้ายลายการ์ตูนไทยสวัสดีที่เราเคยเห็นกันตามโรงแรมต่างจังหวัดนั่นแหละ พอเดินสำรวจดูก็รู้สึกว่าบ้านนี้มีเสน่ห์มาก
อบอุ่นน่าอยู่ ห้องพักก็สะอาด ตกแต่งสวยงาม ราคาก็แสนถูกราวๆคืนละ 2,000 เยน แต่ถ้ามาตอนเทศกาลราคาอาจจะขึ้นนะ
ใครมาแถวนี้ลองมาพักดูนะ Buddha Guest house จ้า
หลังจากเก็บของเสร็จก็รู้สึกหิวข้าว กะว่าจะเดินหาข้าวเที่ยงกินแถวๆริมทะเล วันนี้ไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษ
คงเดินเล่นรอบเมืองไปเรื่อยๆ ยังคงฝังใจว่า ทำไมกูไม่เช่าจักรยานวะ ฮ่าๆๆ
การชมเมืองมันก็ต้องเดินไปเรื่อยๆนี่และ...(ความจริงคือค่าเช่าจักรยานมันค่อนข้างแพง ฮา)
ช่างเป็นเมืองเล็กๆที่สงบจริงๆครับ แต่เดี๋ยวนะ สงบเกินไปปะวะ นี่เดินหาร้านข้าวมาครึ่งชั่วโมงละยังไม่เจอ
หรือเพราะเป็นวันหยุด? แต่เอาเถอะยังไงก็จะเดินไปให้ถึงทะเล ใครไม่ชอบเมืองที่วุ่นวาย
ลองมาแวะเมืองนี้ จะหามุมเซลฟี่ยังไงก็ไม่มีใครมาบดบังแน่นอน เงียบๆแต่ก็เดินได้เรื่อยๆ
เส้นทางหลักคือถนนมุ่งตรงไปทางทะเล ส่วนใหญ่มีแต่ร้านขายผลไม้ จะบอกว่าผลไม้เมืองนี้อร่อยมาก ก ไก่ ยี่สิบตัว
มันจะหวาน กรอบ ฉ่ำ แล้วเวลาอากาศเย็นๆยิ่งทำให้เนื้อสัมผัสอร่อยขึ้นไปอีก อยากให้มาลองจริงๆ
เดินมาจนถึงทะลจึงเข้าใจว่า คนแถวนี้เขามีจิตวิญญาณเป็นคลื่นทะเลไปแล้ว กิจกรรมส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดอยู่ที่ทะเลจ้า
บริเวณตรงนี้เรียกว่า Ogigahama Park หรือเรียกว่า Tanabe beach คนแถวนั้นก็จะรู้ทันที
มีโซนสนามเด็กเล่น มีโซนผู้ใหญ่ โซนนั่งชมวิว โซนปิกนิก แบบว่าเป็นร้านบาร์ยามค่ำคืน ยังมีโซนน้องหมาแมวครบ
ในช่วงเดือนตุลาคม ตรงนี้ใช้จัดงานพลุดอกไม้ไฟด้วยนะ ทะเลยามค่ำคืนกับพลุสวยๆพร้อมเบียร์เย็นๆ คงจะฟินมาก ฮ่าๆ
และกิจกรรมที่นิยมมากที่สุดก็คือ “การตกปลา” เดินไปไหนก็จะเห็นคนถือคันเบ็ด ทั้งมาเป็นกลุ่มเพื่อนและเป็นครอบครัว
ผมเห็นพ่อลูกคู่หนึ่ง พ่อกำลังสอนลูกให้แกว่งเบ็ด สอนการใช้เหยื่อล่อ และคิดว่าคงสอนการใช้ชีวิตไปด้วย ดูมีความสุขกันดี
ใครชื่นชอบการตกปลารับรองกรี๊ดแตก เพราะร้านค้าเกี่ยวกับอุปกณ์ตกปลามีอยู่เรียงราย มีบ่อ มีสนามให้ทดสอบกันสนุกเลย
เอาล่ะ ผมว่าเต็มอิ่มพอแล้วกับจิตใจ ไปเติมอะไรให้ท้องได้อิ่มบ้าง ตั้งแต่เช้ามาเนี่ยได้กินขนมของโฮสต์แค่ก้อนเดียว
ว่าแต่...ไหนล่ะร้านข้าว ผมเปิดอากู๋ค้นหา เห็นว่าต้องเดินไปอีกสักพัก ถือว่าเดินเล่นริมทะเลละกัน
เดินผ่านท่าเรือ โรงงานแช่แข็ง โรงงานขนส่งอาหาร คงเอาไว้แช่พวกปลาที่หามาได้เพื่อรักษาคุณภาพ มีอู่ต่อเรือด้วยนะ
ในใจแอบกลัวว่าจะโดนปล้นฆ่าหั่นศพแล้วเอาไปแช่แข็งทิ้งทะเล (มึงดูหนังฆาตกรรมเยอะไปละ)
ถึงแล้วครับ ร้านข้าวเที่ยง เดินจนขาลาก อยากกินอะไรสั่งได้เลยครับ ทำสดใหม่ ร้านอยู่ริมทะเล
ชื่อร้าน お好み焼はまだ (Okonomiyaki Hamada) เป็นพิชซ่าแบบญี่ปุ่น มีเจ้าของร้านเป็นสองสามีภรรยา
วัตถุดิบส่งตรงจากท่าเรือมายังจานของท่าน ทานให้อร่อยครับ ไม่มีเมนูภาษาไทยแน่นอน ฮ่าๆ
ให้คุ้กกี้ทำนายกันครับ ผมสั่งแบบหน้าปลาหมึกดุ๊กดิ๊กๆ อร่อยมากกกกกก
อิ่มแล้วไปไหนดี พอเช็คดูที่เที่ยวก็ดูเหมือนจะมีวัดหรือจุดชมวิวอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร
ต้องเดินข้ามสะพานไปยังอีกชุมชม แต่เวลาเหลือเยอะไม่รู้จะไปไหนดี เอาแบบไม่มีแพลนอะไรเลย
เลยตัดสินใจ เดินอีกแล้วจ้า มาแล้วต้องไปให้สุดทางดิวะ ผมเดินไปจนถึงศาลเจ้า
ตอนแรกคิดว่ามันคือวัดเพราะดูในแผนที่มันบอกว่าเป็นอุทยาน 天神霊苑 (Tenjin Girl Garden) กะว่าจะมาเดินเล่นชิวๆ
แต่พอเดินดูดีๆมันเป็นสุสานมากกว่าวัด มีป้ายหลุมศพเรียงรายและพื้นที่อยู่บนภูเขาสูง
หันป้ายออกไปทางทะเล อาจจะเป็นเคล็ดอะไรสักอย่าง
เดินหาที่ไหว้พระก็เจอกับ 天満宮 (Tenmangu) เป็นศาลเจ้า แต่ก็นะ..สภาพเหมือนรอการบูรณะ
คือกูกะว่าจะมาขอพร เขียนป้ายไม้ห้อยสวยๆไรงี้ โถ่ววว ดูสภาพดิ...
แต่ถ้าพูดถึงวิวและบรรยากาศละก็ ผมชอบนะ มันมีเสน่ห์แปลกๆ ดูน่าค้นหา พอมองออกไปที่ทะเลแล้วรู้สึกสงบ
ก็อาจเป็นเหตุผลที่มาตั้งสุสานไว้ตรงนี้ก็ได้ เป็นจุดที่ใครก็ตามพอมาอยู่ตรงนี้มองออกไปยังทะเลแล้วรู้สึกสบายใจ
ผมเดินลงมาจากสุสานตั้งใจว่าจะเดินไปจุดชมวิว เป็นเสาโทริอิอยู่กลางทะเลอยากรู้ว่าจะสวยขนาดไหน
ในแผนที่อยู่อีกฟากของเมืองเลย ต้องเดินอ้อมสุสานนี้ไปอีก แต่มาแล้วก็ต้องไปละนะ
ระหว่างทางเดินมาเจอกับสถานที่อะไรสักอย่าง ดูเหมือนจะสร้างไว้สำหรับคนใหญ่คนโตนะ
ป้ายเขียนว่า 天理教中紀大教会 พอเอาไปแปลได้ความว่า “คริสตจักร Tenrikyo Nakayo “ ใช่เหรอวะ ฮ่าๆ
คงเป็นที่ประชุมของนิกาย แต่ว่าศิลปะการแกะไม้สวยมากๆ อะ..ถ่ายรูปสักหน่อยละกัน
ถ่ายรูปจนจุใจเสมือนสถานที่นี้เป็นแลนด์มาร์คของเมือง จากนั้นก็เดินต่อไปตามซอกซอยในหมู่บ้าน หาห้องน้ำฮ่าๆ
จนไปเจอกับโรงเรียนประถม Tanabe Shiritsu Meiyo Junior High School เป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดของแถบนี้
มีทั้งสถานพยาบาล ศูนย์กีฬา เป็นชุมชนใหญ่ครบวงจร บ้าน วัด โรงเรียน
วันนี้เป็นวันเสาร์โรงเรียนปิด แต่เห็นเด็กๆกำลังเล่นกันสนุกสนานเลยขอเข้าไปร่วมแจม
พอไปถึงเด็กๆก็ไม่กลัวคนแปลกหน้าเลย เข้ามาถาม มาชวนเล่นด้วย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
เล่นกับเด็กสักหน่อย คิดซะว่าเป็นโนบิตะ วิ่งไล่จับ เล่นซ่อนแอบ เป่ายิงชุบ โอ้ววววว สนุกวุ้ยยยย
ว่าแต่....พ่อแม่เด็กๆไปไหนกันนะ ปล่อยเด็กไว้แบบนี้ ถ้าเป็นบ้านเราคงไม่ได้ โดนรถตู้ขนไปขายหมดแน่ๆ
แสดงให้เห็นว่าคนแถวนี้เลี้ยงลูกอย่างเชื่อใจ คือปล่อยให้เด็กสามารถเอาตัวรอดได้ พึ่งตัวเองได้ กลับบ้านเองได้
ไม่จำเป็นต้องมีผู้ปกครองมาคอยดูแลตลอดเวลา เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กญี่ปุ่นถึงได้แข็งแกร่งเรื่องนี้
แต่เรื่องความสัมพันธ์กับพ่อแม่นั้นอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไร เรียกว่าเอาตัวรอดได้ แต่พอมีปัญหาก็ไม่กล้าพูดคุยตรงๆ
เล่นเหนื่อยละ พอๆ พี่ไปก่อนนะหนู ขอให้สนุกสนาน คิดในใจว่าถ้าหันกลับไปมองแล้วไม่เจอใครกูจะวิ่งทันที ฮ่าๆๆ
สถานที่สุดท้ายของวันนี้ ในที่สุดผมก็เดินมาถึงจนได้ครับ ศาลเจ้า 元嶋神社 (Motojima Shrine) อยู่ตรงท่าเรือเล็กๆติดทะเล
มีสะพานทอดยาวยื่นออกไปในทะเล มีเสาโทริอิสีแดงอยู่บนภูเขาสูง รายล้อมด้วยต้นไม้สวยๆ
การเดินจับมือไปกับแฟนบนสะพาน ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นคงเป็นอะไรที่โรแมนติกมากๆ
ที่บรรยายมาทั้งหมดคือผมไม่ได้ไปครับ มันอยู่อีกฟากหนึ่ง กูมาผิดฝั่งโว้ยยยยย ฮ่าๆๆๆๆๆ
แต่ผมไม่เสียใจเลยกับมุมนี้ ตรงที่ผมอยู่มองเห็นเสาโทริอิอีกอัน สูงใหญ่อยู่กลางน้ำ มันเก่าแก่มาก
เวลาน้ำลดมากๆ เราสามารถเดินลอดเสาได้ แถมยังเดินลัดไปตรงเสาโทริอิสีแดงที่อยู่บนเขาได้เลย
ตอนนี้มีผมกับพี่ผู้หญิงอีกคน แกคงมาถ่ายรูป ตั้งกล้องไว้แล้วยืนรอ ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าพี่เขารออะไร
พอพระอาทิตย์เริ่มตกดิน แสงท้องฟ้าค่อยๆเปลี่ยนสีไปตามอุณหภูมิ นกนางนวลบินว่อนเต็มท้องฟ้า
ตรงนี้มีคนมาชมวิวแค่ไม่กี่คน แต่สิ่งที่ตาผมได้สัมผัส มันเป็นวิวที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
ความเหมาะเจาะที่สุดคงจะเป็นช่วงเวลาที่รอให้พระอาทิตย์ตกลงกลางเสาโทริอิ ช่วงเวลานี้เองที่พี่สาวคนนั้นรอ
ผมรู้สึกเต็มอิ่มและประทับใจมาก ตาจับจ้องดูพระอาทิตย์ดวงใหญ่ค่อยๆเคลื่อนลงช้าๆ มันสวยจับใจจริงๆนะ
บรรยากาศแบบนี้ มันมีเสน่ห์และน่าหลงใหลมากเมืองท่าเล็กๆอย่าง KiiTanabe แห่งนี้
ทำให้ผมกลับมาคิดทบทวนอีกครั้งว่า จริงๆแล้วเป้าหมายในการเดินทางไม่ใช่แค่สถานที่โด่งดังหรือคนไปเยอะๆแล้วจะดีที่สุด
การแวะพักระหว่างทาง เปิดใจแล้วเดินดูให้รอบๆ ทุกสถานที่มีสิ่งมหัศจรรย์ซ่อนอยู่เสมอ
มันสวยงามอยู่แบบนั้น เราต่างหากที่ต้องเป็นคนไปค้นหาความพิเศษของมัน บางทีความบังเอิญก็ช่วยให้เราพบอะไรใหม่ๆ
การเดินทางของผมยังคงดำเนินต่อไป แต่ทัศนคติในการมองโลกของผมได้เปลี่ยนไปแล้ว....