ครั้งแรกที่เราได้ยินชื่อของเกาะเอโนชิมะ คือตอนที่ไปคามาคุระช่วงก่อนเข้าหน้าร้อนปีที่แล้ว และเห็นป้ายโฆษณาในสถานี ในป้ายนั้นเขาบอกประมาณว่า ‘เอโนชิมะคือเกาะแมว’ และด้วยความรักสัตว์ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นไปกับคำว่าแมวที่เขียนติดอยู่ นี่เลยเป็นสาเหตุให้เราชวนเพื่อนๆ รอบตัวทุกคนให้ไปเยือนเอโนะชิมะด้วยกัน
เราตัดสินใจมาเอโนะชิมะในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่อากาศกำลังร้อนได้ที่เพราะคิดเพียงแค่ว่าหน้าร้อนญี่ปุ่นมันก็ต้องคู่กับทะเลสิ มันคงไม่ร้อนไปกว่าไทยหรอก ! แต่ก็ไม่รู้ว่าเราคิดถูกหรือคิดผิดเพราะพอลงจากรถไฟเราก็รับรู้ได้ถึงไอความร้อนที่ปะทะเข้าหน้าพวกเราทุกคนทำให้หน้าเมือกทันทีอย่างไม่ต้องรอช้า แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว เพื่อเกาะแมว เราไม่หวั่นอยู่แล้วค่ะ !
เราขึ้นรถไปจากโตเกียวมาลงที่ Katase-Enoshima Station นี่เป็นทริปแบบใกล้ๆ ไปเช้า-เย็นกลับ เราเลยพากันออกมาตั้งแต่ 9 โมงเช้า และมาถึงกันประมาณ 11 โมง ร้านรวงแถวนี้เพิ่งจะเปิดกัน จากสถานีเราก็พากันเดินตรงไปเรื่อยๆ จนไปเจอกับสะพานที่ทอดยาวไปสู่เกาะเอโนะชิมะ จริงๆ เราสามารถนั่งเรือเข้าไปยังเกาะเอโนะชิมะได้ แต่ไม่ค่ะ เรามาครั้งแรกเราต้องใช้วิธีแบบคลาสสิคที่สุดนั่นก็คือเดินข้ามไป แม้แดดจะแผดเผาเรามากก็ตาม
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง (แอบแวะถ่ายรูปกันตามทาง) ในที่สุดเราก็มาถึงฝั่งเกาะเอโนะชิมะกันแล้ววว แต่... คือแดดร้อนมาก คอเริ่มแห้ง และจังหวะนั้นเราก็เดินผ่านร้านกาแฟที่ดูจะเป็นบ้านคนเสียมากกว่า คุณป้าคงเห็นพวกเรายืนด้อมๆ มองๆ อยู่นานเลยเดินออกมาต้อนรับเราอย่างเป็นกันเอง
พอเข้าไปด้านในแล้วรู้สึกถูกใจมาก ร้านน่ารักมาก ตรงเคาท์เตอร์มีของเล่นกระจุกกระจิกวางโชว์ไว้เต็มเลย ที่นั่งในร้านก็มีแบ่งเป็นห้องๆ ให้นั่ง ตอนนั้นร้านเพิ่งเปิดคนเลยยังไม่มีเราเลยเลือกที่นั่งกันได้ตามใจชอบ ขนมคุณป้าก็รสชาติดีด้วยนะ เขามีกระดาษรองแก้วเป็นรูปแมวด้วย คิ้วท์ไปอีก ถือว่าเป็นการบังเอิญที่คุ้มค่ามาก แต่เราต้องขอโทษจริงๆ เพราะเราจำชื่อร้านไม่ได้ T^T
พักเหนื่อยกันหนำใจแล้วเราก็ออกเดินต่อมุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าเอโนะชิมะ (Enoshima Shrine) แต่... กว่าจะเดินถึงนี่ร้านค้าด้านหน้านี่ก็ชอบดึงดูดเราเข้าหาเหลือเกิน โดยเฉพาะซอฟต์ครีม เย้ ~
หลังจากโดนหลอกล่อด้วยขนมไป (อีกแล้ว) ก็ได้ขึ้นมาถึงศาลเจ้าเสียที เขาบอกว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรความรักด้วยล่ะ พอขึ้นมาด้านบนก็เชื่อแล้วว่าคงดังเรื่องนี้จริงๆ เพราะป้ายขอพรที่นี่เขาเป็นสีชมพู แขวนอยู่เต็มไปหมดเลย พอไปอ่านๆ ดูแล้วก็เขินแทน
ศาลเจ้าที่นี่ดูเหมือนจะให้เราเดินวนขึ้นไปบนเขาเรื่อยๆ และตามทางก็จะมีจุดชมวิวให้เราถ่ายรูปกันเป็นระยะๆ และถ้าใครอยากจะชมวิวมุมสูงแบบ 360 องศาก็สามารถซื้อตั๋วเพิ่มเพื่อขึ้นบันไดเลื่อนไปชมบนหอคอยได้นะ
ณ ตอนนี้ที่เดินมาคือลืมเรื่องแมวเหมียวไปแล้ว แต่ไปๆ มาๆ ก็เจอเจ้าแมวมานอนขดกันอยู่ด้านบนของศาลเจ้า เจอหลายตัวเลยนะ เขาบอกว่าเจ้าแมวเหล่านี้เป็นเทพเจ้าประจำศาลเจ้าเอโนะชิมะ ถ้าใครเจอครบ 5 ตัวนี่ถือว่าโชคดีสุดๆ แต่เราเจอแค่ตัวเดียวเอง สงสัยต้องกลับมาอีกรอบ เนอะๆ
ขึ้นมาอีกนิดจะเจอย่านการค้าคล้ายๆ กับด้านล่าง ยิ่งเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นวิวแบบนี้ในหนังมาก่อน แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วยค่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนังเรื่อง Wolf Girl and Black Prince (ยัยหมาป่ากับเจ้าชายเย็นชา) กำลังฉายที่ญี่ปุ่นพอดีและเรื่องนี้ก็ได้มาถ่ายที่นี่ มีฉากร้านอาหารที่มองเห็นวิวด้านล่างด้วย ดังนั้นตลอดทางที่เดินผ่านจึงมีโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ติดเต็มไปหมดเลย เหมือนได้มาตามรอยกลายๆ เลยนะเนี่ย เราก็แอบกรี๊ดเบาๆ เพราะเราชอบพระเอก 5555
หนุ่มเคนโตะ ยามาซากิ
เดินต่อมาเพลินๆ เราก็มาทะลุออกด้านหลังของเกาะ ที่อยากจะบอกกับทุกคนว่า.... มันสวยมาก (ก.ไก่ล้านตัว) คือตอนแรกก็คิดนะว่าศาลเจ้านี้จะต้องเดินวนไปถึงไหนกัน แต่พอได้เห็นวิวที่รอพวกเราทุกคนอยู่ก็หายเหนื่อย ภาพตรงหน้าเป็นทะเลสีฟ้าตัดกับฟ้าใสๆ ที่นี่แม้จะหาหาดทรายสวยๆ ได้น้อย แต่วิวหน้าผาที่เป็นโขดหินน้อยใหญ่ต่างๆ ยื่นไปสู่ทะเลนั้นบอกเลยว่าถ่ายรูปมุมไหนก็สวย จะมายืนเป็นฮิปสเตอร์ หรือถ่ายพรีเวดดิ้งก็ยังได้
เราเดินไปตามสะพานสีขาวที่ทอดยาววนไปรอบเกาะ แม้จะไม่มีร่มเงาเลยแต่พวกเราก็ยังจะท้าแดดต่อไปเพราะยังเหลืออีกจุดหนึ่งที่อยากจะเข้าไปเที่ยว นั่นก็คือ ถ้ำ Enoshima Iwaya ด้านในเป็นแกลลอรี่แสดงประวัติศาสตร์ของเกาะเอโนะชิมะ และด้านในสุดของถ้ำเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้ามังกรให้นักท่องเที่ยวได้ไปกราบไหว้ และสังเกตได้ว่าในนี้ลมจะเย็นกว่าด้านนอกเป็นพิเศษเพราะเขาบอกว่าถ้ำนี้เชื่อมต่อไปยังภูเขาไฟฟูจิได้ด้วยนะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เข้ามาแล้วขลังมาก
เห้อ ~ ที่เล่ามาทั้งหมดนั่นเรียกได้ว่าเดินรอบเกาะเลยก็ว่าได้ ตากแดดเปรี้ยงๆ มาทั้งวันด้วยความเหนื่อยเราเลยตกลงกันว่าเราจะนั่งเรือกลับไปยังสถานีคาตาเซะเอโนะชิมะกัน ในราคา 400 เยน เป็นอันจบทริปเอโนชิมะครั้งแรก แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็ได้ความประทับใจกลับไปเยอะ ได้เจอแมวเหมียวสมใจหวัง ได้เที่ยวรอบเกาะ ได้ถ่ายรูปฮิปสเตอร์ เรารู้สึกว่าเอโนชิมะเป็นที่ที่มาครั้งเดียวไม่พอ มาแล้วก็อยากจะมาอีก สำหรับเรา... เรารอวันที่จะให้มีทริปที่สอง ที่สามอยู่เหมือนกันค่ะ
ทริปนี้ไปเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559