บทนำ
ว่าด้วย ประเทศญี่ปุ่น เมืองในฝันของใครหลายๆคน บางคนไปเพื่อเที่ยว บางคนไปเพื่อทำงาน และบางคนรวมถึงเราด้วยไปในฐานะเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน แต่ของเราอาจจะแปลกหน่อยเพราะเราไม่ได้ไปเพื่อเรียนรู้ภาษา หรือเรียนรู้วัฒนธรรม แต่เราไปแค่ระยะสั้นไม่กี่เดือนเพื่อ ทำธีสิสจบ เพราะฉะนั้นเรื่องราว และผู้คนที่เราพบเจออาจจะไม่ได้หาได้ตามท้องถนนทั่วไปในญี่ปุ่น และก็ไม่ใช่เรื่องราวที่จะรีวิวสถานที่เที่ยว ที่กิน หรือที่ช๊อปปิ้ง เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือต้องทำธีสิสเพื่อเรียนให้จบ แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าตั้งแต่วันนั้น กลับเปลี่ยนความคิดของเราหลายๆอย่าง โดยเฉพาะคำที่ว่า ระหว่างทางสำคัญกว่าจุดหมาย โคตรเข้าใจคำนี้
จากเด็กที่ไม่เคยออกไปเที่ยวนอกประเทศ และก็ไม่คิดว่าจะเก็บตังพอไปเที่ยวได้ กับภาษาอังกฤษเลเวลปานกลาง พ่วงกับภาษาญี่ปุ่นที่ไม่ได้เลย ทุกอย่างมันเหมือนถูกจัดเรียงให้เกิด ทั้งสุข เหงาเคล้าน้ำตา แม้ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ ตั้งใจ แต่ด้วยองค์ประกอบเหล่านั้น มันทำให้ ญี่ปุ่น เป็นสถานที่ในความทรงจำที่ไม่มีวันลืม เหมือนประโยคที่ว่า A perfect story needs nice persons in the right place at the right time ฟังดูมีหลักการ แต่เราอยากให้ทุกคนลองเปิดอ่านมุมมองเรื่องราวของ ญี่ปุ่น ผ่านตัวหนังสือและภาพถ่ายของเรา รับรองว่าเรื่องราวเหล่านี้จะทำให้ทุกคนรู้สึกอินไปกับมัน เหมือนกับการนั่งฟังเรื่องราวผจญภัยของเพื่อนที่เพิ่งกลับมา แล้วเม้าไม่ยอมหยุด ขอให้สนุกกับเรื่องราวเหล่านี้นะ
Chapter I: จุดเริ่มต้น
About time ~ 6 เดือนชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยโอซาก้า...ฉันต้องรอด
ว่าด้วยเรื่องเรื่องเวลา และจังหวะที่มาของเรื่อง และความวุ่นวายที่ตามมา
แตกต่าง เหมือนกัน │Thai English vs Japanese English
ว่าด้วยเรื่องราวที่ทำให้รู้จัก และเปิดใจกับคนแปลกหน้าที่จะกลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่องนี้
โอซาก้า │มาแล้วนึกถึงอะไร?
การท่องเที่ยวที่แทบจะไม่มีความประทับใจอะไรเลยกับสถานที่ดังๆในรีวิว
Koya san │ ครั้งหนึ่งกับโฮสแฟมิลี่จะเป็นยังไงนะ
การพบกันโดยมิได้นัดหมาย เรื่องราวที่ทำให้เราแทบอึ้งกับการที่โฮสชวนเราไปไหว้บรรพบุรุษ
Escape │ โอซาก้า to โตเกียว ไม่ใกล้ไม่ไกล
หลบหนี จะว่าง่ายๆคือ หนีเซนเซออกเที่ยว โดยผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการคือ เด็กญี่ปุ่น Go Go !!
Season Change │อากาศเปลี่ยน พวกเราก็เปลี่ยน
เมื่อฤดูเปลี่ยน ไม่น่าเชื่อว่าทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนตามไปด้วย เริ่มต้นจากความอึดอัด สู่ เสียงหัวเราะ
หน้าหนาวที่แล้ว │ ธันวาคม เดือนแห่งเทศกาลที่ญี่ปุ่น นี่มันดีจริงนะ!
ใครๆก็บอกว่าฤดูหนาวเป็นช่วงแห่งการคิดถึงบ้าน แต่คงใช้ไม่ได้กับที่นี่ ยิ่งหนาวยิ่งคึก เอาเข้าจริงเรียกได้ว่าแทบไม่มีเวลาคิดถึงบ้าน เลยหล่ะ
“ Nice to meet you, My name is Rino ”
มาญี่ปุ่นครั้งนี้เราจะได้โฮสแฟมิลี่มาช่วยดูแล โดยมีเงื่อนไขว่าเราจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่ต้องนัดมาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ฟังแล้วงงๆ ว่าไหม?
เรามักจะได้ยินมาว่าคนญี่ปุ่นมักจะมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ถ้าไม่จำเป็นไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงเขาในเรื่องส่วนตัว หรือแม้กระทั่งการไปเที่ยวบ้านเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก พอมาเจอกับตัวเองจริงๆ โฮสแฟมิลี่ของเราเป็นทุกอย่างที่กลับกันกับเรื่องราวที่เราเคยได้ยินมา
ริโน่ซังมักจะชวนเราไปช๊อปปิ้งช่วงเสาร์ อาทิตย์ บางทีก็มารับไปกินข้าวตอนเย็นด้วยกันที่บ้าน ลูกชายของเขาคนโตอายุเท่าเรา ส่วนคนน้องเป็นเด็กมอต้น เราถือว่าโชคดีมากที่ทั้งสองคนพูดอังกฤษคล่องปรื๋อ.. แถมชวนคุยสารพัด มันเลยทำให้พวกเราสนิทกันเร็วมาก ทุกกิจกรรม หรือปาร์ตี้ที่บ้าน เขาก็จะนึกถึงเราเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่ง ริโน่ซังชวนเราไปไหว้บรรพบุรุษ... จึงเป็นเรื่องราวที่บังเอิญพบกับ “Koya san” โดยไม่ได้นัดหมาย
Koya san ไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นสถานที่ที่เราไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ปกติใครๆ มาญี่ปุ่นจะพูดถึงแต่ Fuji san ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่ค่อนข้างนอกเพลนเราพอสมควร ว่าแล้วโคยะซังหน้าตาจะเป็นยังไง?
โคยะซังเป็นภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่แถบ Wagayama การเดินทางค่อนข้างไกล ต้องเดินทางด้วยรถไฟ ต่อด้วยเคเบิล ระหว่างทางจะได้เห็นแถบชนบทของญี่ปุ่นเข้ากันดีกับช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วงในตอนนั้น ซึ่งเราว่าบรรยากาศข้างทางเป็นเสน่ห์สำคัญอย่างหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้
บนโคยะซัง จะรับรู้ได้ถึงความนิ่ง..สงบ ข้างบนจะมีต้นสนเต็มไปหมด ซึ่งก่อนจะเข้าไปที่สุสานเราสองคนจะต้องเตรียมก้านสนและธูปไว้สำหรับไหว้และนำกะละมังที่เขาเตรียมไว้ข้างหน้าไปรองน้ำ เพื่อที่จะใช้ทำความสะอาดที่สุสานของบรรพบุรุษ แปลกใหม่ดีเหมือนกันนะ การมาครั้งนี้นอกจากไหว้บรรพบุรุษเรายังได้มีโอกาสมาในที่ของพระพุทธเจ้า ริโน่ซังเล่าว่า ข้างบนเขานี้ไม่ได้เป็นแค่สุสาน แต่เป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น ที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธนิกายชินงอน แม้ว่าเราจะไม่ได้อินกับศาสนามากมาย แต่ตลอดทั้งวันนี้ริโน่ซังทำให้เรารับรู้ได้ถึงความกลมกล่อมของธรรมชาติที่ผูกเข้ากับศรัทธาของทุกคนที่มาที่นี่จริงๆ ...
ทุกๆ ครั้งที่ริโน่ซังกับลูกๆ ชวนเราออกมาเที่ยว หรือมากินข้าว เขาจะทำให้เราได้รู้จักญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆ เสมอ จากวันนั้นถึง วันนี้เรายังคงเล่าเรื่องของตัวเองผ่านโปสการ์ดให้กันตลอด มันคงจะจริงว่าการที่เราได้รู้จักกับใครซักคนมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คนข้างบนคงมีเหตุผลบางอย่างให้เราผูกพันกัน เหมือนกับครั้งนี้
-- I do miss you, Rino-san --