จุดชมวิวในกรุงโตเกียวนั้นมีหลากหลายสถานที่ แต่ละที่ก็จะมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน แต่วันนี้เราจะขอแนะนำจุดชมวิวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ประทับใจที่สุดของผมเอง นั่นคือ Mori Tower ที่ Roppongi Hills นั่นเอง เดินทางมาไม่ยาก จากสถานี Roppongi เดินทางใต้ดินมาตามป้ายก็จะถึง Roppongi Hills แล้ว หรือจะเดินด้านนอกก็ได้เช่นกัน ถ้ามาจากทางนี้พอเข้ามาถึงบริเวณ Roppongi Hills ก็จะเจอแมงมุมตัวใหญ่ยืนเด่นอยู่หน้าตึกโมริ บริเวณรอบตึกนี้จะเป็นโซนช้อปปิ้งพลาซ่าและร้านอาหารมากมาย แต่ผมนั้นเดินมาจาก Azabu Junban ก็จะเจอร้าน TSUTAYA และ Starbucks ก่อน ซึ่ง Starbucks ที่นี่สามารถหยิบหนังสือที่ TSUTAYAมานั่งอ่านพร้อมจิบกาแฟไปพร้อมกันได้ ถัดมาจะเป็นถนนที่มีการจัดไฟ แต่ผมมาตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก ไฟจึงยังไม่เปิดให้ชม วิธีขึ้นไปด้านบนนั้น ให้เดินหาโดมกระจกเล็กๆที่เขียนว่า Mori Art Museum แล้วขึ้นไปได้เลย ในวันนั้นเป้นวันอาทิตย์ ตรงลานกว้างข้างๆ TV Asahi มีจัดรายการ Music Station อยู่ด้วย อยากแอบดูอยู่เหมือนกันแต่เวลาไม่พอละ ในวันนั้นเวทีด้านนอกที่สามารถแอบส่องได้(ถ้ามีความพยายามมากพอ) ก็จะได้เจอกับเหล่าสาวๆตระกูล48ด้วย ! และในวันนั้น Lady Gaga ก็มาร่วมรายการด้วยเช่นกัน แอบเสียอยู่เหมือนกัน
พอเดินเข้ามาในโดมกระจกแล้วเดินตามทางมาเรื่อยๆจะเจอกับเค้าเตอร์ซื้อตั๋ว โดยราคาค่าเข้านั้นจะอยู่ที่ 1500เยน และเพิ่ม 500เยน(ซื้อตั๋วเพิ่มด้านบน)สำหรับใครที่อยากขึ้นไป Sky Deck หรือชั้นดาดฟ้าของตึกและยังรวมค่าเข้า Mori Art Museum ไปอีกด้วย (รวม2000 เยน) แต่วันนี้ผมมากับพี่ที่ทำสมาชิกรายปี ผมไม่แน่ใจตัวเลขที่แน่นอนสำหรับค่าสมัครวสมาชิครายปีว่าราคาเท่าไร โดยคนที่มาพร้อมคนที่มีบัตรสมาชิกนั้น จะได้ขึ้นส่วนของ City View, Sky Deck และ Mori Art Museum ในราคาเพียงแค่ 1200เยนเท่านั้น! แต่โดยส่วนตัวขอบอกเลยว่า ถึงจะต้องจ่ายเต็มจำนวนผมก็ยอม มันสวยมากจริงๆครับ
** คำเตือน : กรุณาเช็คก่อนว่า Sky Deck เปิดในวันที่ต้องการจะไปหรือไม่ สำหรับคนที่อยากขึ้นไปที่ดาดฟ้านะครับ **
พอซื้อตั๋วเสร็จก็เดินมามาขึ้นลิฟท์ หลังจากนั้นไม่นานเราก็ถูกส่งขึ้นสู่ชั้น 52 อย่างรวดเร็ว พอขึ้นมาถึงผมก็ตรงไปที่ทางขึ้น Sky Deck ก่อน ซึ่งตรงนี้เราจะต้องทำการฝากของที่ล็อคเกอร์ก่อนที่จะขึ้นไปทางด้านบน(ห้ามนำกระเป๋าขึ้นไปด้วย แต่กล้องสามารถนำขึ้นไปได้) ค่าบริการฝากของในล็อคเกอร์อยู่ที่ 100เยน แต่สามารถรับคืนได้หลังจากเอาของออกจากล็อคเกอร์แล้ว หลังจากฝากของเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวขึ้นลิฟท์ไปสู่ชั้นดาดฟ้า พอประตูลิฟท์เปิดออก วิ่งแรกที่สัมผัสได้ทันที่คือลมครับ เวลานั้นอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศา แต่ไม่ได้เช็คแบบแน่นอนว่าเท่าไร พอเดินขึ้นมาบริเวณดาดฟ้าเท่านั้น … นี่คือความรุ้สึกของ “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” หนาวไม่พอลมยังแรงมากอีกด้วย มือสั่นหน้าชาไปเลยครับ แต่พอได้เห็นวิวเท่านั้นแหละ เกือบลืมความหนาวเลยทีเดียว
ถ้าหันหลังเดินไปอีกด้านหนึ่ง(อย่าเดินลัดนะครับ) ก็จะเจอฟูจิซังตามภาพด้านล่างครับ
ถ่ายไปได้ไม่กี่ภาพก็ทนความหนาว(เพราะลมแรง)ไม่ไหว เลยลงมาที่จุดชมวิวชั้นล่าง พอลงลิฟท์มาก็เดินกลับไปเอาของในล็อคเกอร์และอย่าลืมหยิบเหรียญ100เยนที่เค้าคืนให้กลับมาด้วยนะครับ ส่วนนี้จะสบายหน่อยเพราะมีทีนั่งให้ด้วย และถ้าจะถ่ายภาพก็ง่ายมากด้วยเช่นกันครับ เพราะเป็นกระจกบานใหญ่ถ่ายง่าย และวางขาตั้งกล้องได้ครับ แต่แนะนำให้ตั้งแบบเตี้ยๆเอาดีกว่าครับ
หลังจากอิ่มกับบรรยากาศแล้วจึงไปเดิน Mori Art Museum ต่อ ในงานแสดงผลงานศิลปะนั้น บางชิ้นไม่สามารถถ่ายภาพได้นะครับ บางงานก็จะมีติดป้ากำกับเลยว่าห้ามถ่ายภาพ แต่บางงานถ้าไม่ชัวร์ลองถามสตาฟที่อยู่รอบๆนั้นได้ครับ
หลังจากเดินเล่นชมงานศิลปะที่บางชิ้นก็ไม่เข้าใจเลย ก็ลงมาเดินดูไฟบริเวณด้านล่างต่อ
สำหรับใครที่อยากถ่ายภาพ Tokyo Tower จากจุดนี้ ต้องรอไฟข้ามถนนแล้วเดินไปถ่ายกลางถนนครับ ถึงจะเห็น ไฟที่นี่จัดสองสีคือแดงและขาว เวลาเปลี่ยนสีแต่ละครั้งน่าจะอยู่ระหว่าง 15-30 นาทีครับ
ทั้งนี้บริเวณแมงมุมตัวยักษ์ก็มีมุมให้ถ่ายภาพ Tokyo Tower ด้วยเช่นกัน มีสองจุด แต่มุมไม่ต่างกันเท่าไร จุดแรกคือหลังตัวแมงมุมครับ ตรงนั้นจะเป็นบันไดเดินลงไปยังชั้นล่าง จุดนั้นจะเห็น Tokyo Tower ได้อย่างชัดเจน และอีกจุดนึงคือทางด้านซ้ายซึ่งจัดเป็นสวนเล็กๆ เหมาะแกการนั่งชมวิวมากกว่าเพราะมีกระจกกั้น
เป็นยังไงกันบ้างครับ ชอบกันหรือเปล่า ส่วนตัวของผมนั้นชอบมากที่สุดแล้วครับ เพราะมันมีอะไรมากกว่าวิวสวย ถ้าใครไปโตเกียวแนะนำว่าอย่าพลาดที่นี่เป็นอันขาดครับ หลังจาก Roppongi Hills แล้วก็สามารถไปชมการจัดไฟที่ Tokyo Mid Town ต่อได้ด้วยครับ เดินต่อไปอีกนิดเดียวเท่านั้น